วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2565

[งานแปล แก้ฟุ้งซ่าน] เรื่องสั้นแนวลึกลับจาก the-mystery.org Part 9

ต้นฉบับของงานแปลนี้นำมาจาก https://the-mystery.org 

ถ้าจะนำไปลงที่อื่น กรุณาบอกกันซักคำและให้เครดิตเว็บไซต์ต้นทางด้วย

งานนี้เป็นเรื่องสั้นหลายๆ เรื่องที่เราแปลสะสมไว้แล้วเอามาลงทีเดียว

เซ็ตต่อไปยังไม่มีกำหนดลง เพราะยังไม่ได้ทำต่อ

Part 9 มีเรื่องเดียว เป็นเรื่องยาวหน่อยนะ

✱✱✱✱✱✱✱

ตอนที่ผมไปอยู่ต่างโลก

(ที่มา : https://the-mystery.org/strange_experience/post-4734/)


ที่ผ่านมาผมเคยไปต่างโลกมา 3 ครั้ง

ครั้งแรกตอนประมาณ 9 หรือ 10 ขวบ ครั้งที่สองตอนอายุประมาณ 23 ครั้งที่สามคือเมื่อ 10 ปีก่อน ตอนผมอายุ 36

ทุกครั้งที่ผมไปต่างโลก จะเป็นตอนที่ชีวิตผมอยู่ในช่วงเลวร้ายสุดขีด


ตอนไปต่างโลกครั้งที่ 1 เป็นช่วงที่ผมโดนแกล้งที่โรงเรียนหนักมาก ครอบครัวก็อยู่ในช่วงบ้านแตกสาแหรกขาด พ่อแม่ทะเลาะกันทุกคืน

ผมไม่อยากเห็นพ่อแม่ทะเลาะกัน จะดูทีวีก็ดูไม่ได้ จึงเข้าไปขดตัวอยู่ในที่นอนเสมอๆ


วันหนึ่ง ผมตื่นขึ้นมากลางดึก แล้วก็ลุกขึ้นเดินสะโหลสะเหลออกไปข้างนอก จำไม่ได้เหมือนกันว่าตอนนั้นผมคิดอะไรอยู่หรือได้ยินเสียงใครเรียก

หลังจากนั้นก็จำอะไรไม่ค่อยได้ รู้ตัวอีกทีก็เดินอยู่กลางป่าที่ไม่รู้จักแล้ว

ตัวผมในตอนเด็กเข้าใจว่าที่นั่นเป็นป่าเขตร้อน บรรยากาศชุ่มชื้นแต่ก็มืดสลัว

ไปๆ มาๆ ก็เหมือนจะกลายเป็นเวลาเย็น ด้วยความง่วงตอนนั้นผมจึงค่อนข้างเบลอๆ

ผมหลงอยู่นานแค่ไหนก็ไม่รู้ บางทีอาจจะแค่สิบกว่านาทีก็ได้


รู้ตัวอีกทีผมก็เจอกับยายคนหนึ่งในป่า แล้วก็ถูกพาไปที่บ้านของแก ตรงนี้ผมจำรายละเอียดไม่ได้เท่าไหร่

บ้านนั้นอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ กลางป่า บรรยากาศเหมือนหมู่บ้านในเขาลึกแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ใช้ชีวิตแบบโบราณ ไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าเลย

ครอบครัวของยายต้อนรับตัวผมที่ยังมึนๆ งงๆ อย่างอบอุ่น

ยายแกเป็นคนสวย พอพูดญี่ปุ่นได้กระท่อนกระแท่นเหมือนคนต่างชาติที่เพิ่งเริ่มเรียน

ครอบครัวของยายมีลูกชาย ลูกสาว สามีของลูกสาว และลูกของพวกเขาอีก 5 คน ทุกคนเป็นคนร่าเริงและเข้ากับผมได้ทันที

ตัวผมที่ไม่รู้จักครอบครัวที่อบอุ่นได้มีช่วงเวลาที่มีความสุข

จนผมคิดขึ้นมาว่าอยากจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่


ผมน่าจะอยู่ที่นั่นได้ประมาณ 3 วัน

พริบตาที่ผมก้าวออกจากบ้านตามที่พวกเด็กๆ เรียก ผมก็กลับมาที่โลกเดิม

ผมยืนงงอยู่ที่ประตูหน้าบ้าน รอบข้างยังเป็นเวลากลางคืนอยู่

แล้วก็ได้ยินแม่เรียกมาจากด้านหลังว่า "ทำอะไรอยู่!" ยังจำได้อยู่เลยว่าตอนนั้นผมตกใจจนสะดุ้งเฮือก

เหมือนว่าระหว่างที่ผมไปโลกนั้น เวลาทางนี้แทบไม่ขยับไปเลย


ถ้าเป็นเด็กคนอื่นคงเล่าให้พ่อแม่ฟัง แล้วก็จบด้วยการโดนพูดว่า "มันจะเป็นไปได้ยังไงล่ะลูก!" แต่ผมกลัวพ่อแม่อยู่ตลอดเลยไม่ได้เล่าให้ฟัง ได้แค่นั่งสงสัยว่า "นั่นคือฝันรึเปล่านะ...? แต่มันจะสมจริงขนาดนั้นเลยเหรอ..."

แต่มานึกย้อนดู แผลใบไม้บาดตามตัวหรือเสื้อผ้าที่เลอะเทอะตอนนั้นก็เป็นหลักฐานเห็นๆ อยู่...

แต่ด้วยความเชื่อไม่ลงว่า "ชีวิตแสนสุขพรรค์นั้นมันจะไปมีจริงได้ไง ต้องเป็นฝันแน่ๆ" ผมจึงไม่ได้เก็บมาคิดอะไรต่ออีก

ผ่านไปอีกไม่กี่เดือน พ่อกับแม่ก็หย่ากัน ผมถูกทางบ้านเกิดของแม่รับไปเลี้ยงดู


หลังจากนั้นอีก 10 กว่าปี

ตอนนั้นผมยังเชื่อว่านั่นเป็นความฝันที่สมจริงมากๆ เท่านั้น

หลังจากที่ผมไปอยู่บ้านเกิดแม่ แม่ก็แต่งงานใหม่ ผมอยู่ในความดูแลของตายายจนถึงตอน ม. ปลาย

ที่ตายายเลี้ยงมา ผมก็ถือว่าท่านมีบุณคุณนะ แต่พอมีเรื่องอะไรนิดหน่อย เค้าก็ชอบเอาพ่อผมไปนินทา หลายๆ ครั้งก็ลามมานินทาผมด้วย ผมจึงคิดอยู่เสมอว่าอยากออกไปจากบ้านนี้เร็วๆ

ช่วงที่เพิ่งจบ ม. ปลาย ผมก็ย้ายไปอยู่โตเกียวพร้อมกับรุ่นที่อีกคนที่มีแผนจะย้ายออกช่วงเดียวกันพอดี

ผมได้ทำงานในบริษัทที่กดขี่พนักงานเยี่ยงทาส แต่ผมกล้ำกลืนฝืนทน เก็บหอมรอมริบจนผ่านไปหนึ่งปีก็ได้ย้านไปอยู่พาร์ทเมนต์เก่าๆ แห่งหนึ่ง


แต่ผมก็ยังต้องทำงานที่บริษัทบัดซบนั่นต่อไป แล้วตอนอายุ 23 ผมก็ได้ไปต่างโลกอีกครั้ง

ช่วงนั้นชีวิตผมไม่ค่อยดีนัก กลับห้องมานอน แล้วก็ตื่นออกไปเจอที่ทำงานแย่ๆ ซ้ำไปซ้ำมา

ต้องทำงานที่รับผิดชอบสูงขึ้น แต่เงินเดือนน้อยนิดเหมือนเดิม กลายเป็นเป้าให้เจ้าของบริษัทตำหนิในเรื่องไม่เป็นเรื่อง จิตใจผมตอนนั้นเหนื่อยล้าเต็มทน

แถมรุ่นพี่ที่เข้าโตเกียวมาพร้อมกันก็ดันตกงาน เลยชอบมาไถเงินผมอยู่เรื่อย

เหมือนรุ่นพี่เขาจะเกี่ยวข้องพวกอันธพาล ผมเคยโดนเขาพาพวกมาขู่ด้วย


ในวันหยุดซึ่งหลายๆ เดือนจะมีซักครั้ง ผมนั่งดื่มเหล้าที่ปกติดื่มไม่เป็นตั้งแต่เช้าตรู่ พลางคิดคร่ำครวญว่า "ทั้งๆ กูพยายามทำงานมาขนาดนี้แล้ว ทำไมชีวิตกูถึงเป็นแบบนี้..."

แล้วผมก็เกิดอยากอ้วกขึ้นมา เลยจะไปห้องน้ำ แต่พอลืมตาขึ้นมาผมกลับมาอยู่กลางป่าที่ดูคุ้นเคย


"ป่าตอนนั้นนี่!" "ฝันเหรอ!?" ความคิดมากมายวนเวียนอยู่ในหัว

ยังไงก็เถอะ ถ้าครอบครัวนั้นยังอยู่ผมก็อยากไปเจอพวกเขา ผมออกเดินโดยตั้งใจไว้อย่างงั้น แต่ผมมาทั้งเท้าเปล่าแถมยังเมา การเดินในป่าจึงยากลำบากมาก

ตอนที่ผมกำลังนั่งพักกลางป่าได้ครู่นึงก็มีคนมาทักผม

คนคนนั้นเป็นหญิงสาวที่ดูคล้ายกับยายที่เคยเจอครั้งก่อนอย่างบอกไม่ถูก

ผมก็อึ้งๆ ไปเพราะไม่รู้จะเริ่มพูดอะไรก่อนดี แต่เธอคนนั้นกลับเป็นฝ่ายชวนผมคุยก่อนด้วยภาษาญี่ปุ่นแบบกระท่อนกระแท่น

เหมือนเธอจะบอกว่า โชคดีที่หมู่บ้านอยู่ใกล้ๆ นี่ มาที่บ้านฉันก่อนสิ

พอผมตามไป ปรากฏว่าหมู่บ้านของเธอก็คือหมู่บ้านที่ผมเคยมาตอนเด็กๆ ถึงจะมีจุดที่ไม่เหมือนเดิม แต่หลายๆ อย่างก็ดูคุ้นตา

"หรือว่าตอนนั้นไม่ใช่ความฝัน! ไม่สิ หรือว่านี่ก็คือความฝัน?" ใจหนึ่งก็ดีใจ อีกใจก็ยังสงสัย 

แต่เพราะโลกที่เจอมามันโหดร้าย ผมเลยคิดว่าจะยังไงก็ช่างมันเถอะ


ผมไม่มีที่ไป หญิงสาวคนนั้นจึงให้ผมนอนที่บ้านด้วย

ตอนแรกผมคิดว่าเธอคือลูกหลานของยายคนนั้นหรือเปล่า แต่เธอบอกว่าครอบครัวเธอไม่เคยมีสมาชิกเยอะขนาดนั้นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว

พ่อแม่ของเธอเสียไปตั้งแต่ยังเล็ก ที่ผ่านๆ มาก็มีแต่เพื่อนบ้านและคนรู้จักคอยดูแล

เธอเป็นสาวสวย อายุราวๆ 20 ปี นั่นทำให้ผมชอบเธอตั้งแรกเจอ


อาจจะเสียมารยาทไปหน่อย แต่ขอบอกว่าหมู่บ้านนั้นใช้ชีวิตกันแบบโบราณมาก คนที่คุ้นกับความสะดวกในยุคปัจจุบันแบบผมจึงใช้ชีวิตลำบาก แต่เธอก็คอยช่วยให้ผมพออยู่ไปได้

ที่นั่นบรรยากาศคล้ายๆ ในหนังเรื่องอวตาร แต่ก็ไม่ได้โบราณหรือมีความแฟนซีขนาดนั้น แต่การใช้ชีวิตที่นี่ เรียกว่าเป็นชีวิตในอุดมคติได้เลย

ถ้าเทียบกับโลกปัจจุบัน คงพูดได้ว่าที่นี่ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองได้ "ใช้ชีวิต" มากกว่าละมั้ง...

แต่ขณะเดียวกันผมก็กลัว กลัวว่าแค่พริบตาเดียวก็จะต้องกลับไปที่โลกเดิมเหมือนครั้งก่อน


ผ่านไปราวๆ 3 เดือน

ถึงผมจะหัวไม่ดีนักแต่ก็ทำงานละเอียดๆ ได้ดี จึงคุ้นกับชีวิตที่นี่ขึ้นมาก

ภาษาที่คนที่นี่พูดกัน ผมก็เริ่มพูดคำง่ายๆ ได้นิดหน่อยแล้ว


แล้วก็ด้วยความที่หนุ่มสาวได้มาอยู่ใกล้ชิดกัน ผมเลยได้สานสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเธอคนนั้นด้วย

เพราะที่นี่ไม่มีความบันเทิงอะไร ผมเลยมีอะไรกับเธอทุกคืน

พอเรามาอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน คนในหมู่บ้านก็ฉลองแสดงความยินดีให้เราด้วย


เมื่อความผูกพันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว การแยกจากจึงมาถึงอย่างง่ายดายเช่นกัน


จู่ๆ วันหนึ่งผมก็ถูกส่งกลับมาโลกเดิม

เวลาในโลกเดิมผ่านไปหลายชั่วโมง ถามว่านานมั้ย ก็ไม่นาน

แต่สำหรับผมที่ระหว่างนั้นไปอยู่โลกอื่นมากว่า 3 เดือน กว่าจะกลับมาใช้ชีวิตแบบเดิมได้ก็แทบแย่

ยิ่งเป็นชีวิตที่ถึงจะลำบากกายอยู่บ้าง แต่ก็ได้อยู่อย่างสบายใจก็ยิ่งทำใจยาก

ผมร้องไห้หนักมากเพราะเสียใจที่จะไม่ได้เจอเธอคนนั้นอีกแล้ว ร้องขนาดที่ใครมาเห็นก็คงคิดว่าผมเสียสติไปแล้ว


แล้วเวลาก็ผ่านไป จนผมอายุ 36

ครับ และผมแต่งงานแล้ว หลังจากคิดอย่างถี่ถ้วน

คุณอาจจะอยากถามว่าแล้วหญิงสาวในหมู่บ้านนั้นล่ะ จะทำยังไง แต่ผู้ชายเราก็เป็นแบบนี้แหละครับ

จะยื้อรอไปเรี่อยๆ ก็ใช่เรื่อง ผมเองก็อยากมีครอบครัวเหมือนกันนะ

แต่ชีวิตผมก็ยังลำบากเหมือนเดิม


ผมย้ายบ้านหนีรุ่นพี่ไปอยู่แถบชานเมือง สู้อดทนทำงานต่อไป แต่ก็ไม่ได้มีความสุขซักเท่าไหร่

เมื่อโอกาสมาถึงผมก็แต่งงาน แต่ผมดันได้เมียนิสัยเสียนี่สิ...


เราตกลงกันว่าจะสร้างฐานะให้มั่นคงกว่านี้ก่อนค่อยมีลูก แต่เธอกลับตัดสินใจลาออกจากงานพิเศษโดยไม่ปรึกษาผมก่อน 

ผ่านไปไม่เท่าไหร่ก็กลายเป็นว่าแม้แต่งานบ้าน เธอก็ไม่ยอมทำ

ด้วยเรื่องงาน ผมก็ไม่ได้กลับบ้านบ่อย พอผมไม่อยู่บ้านนานๆ เข้า เธอก็มีชู้


ตรงนี้ขอไม่ลงรายละเอียดนะครับ แต่ก็เอาคืนเมียด้วยการมีกิ๊กบ้าง ลงไม้ลงมือกับเธอบ้าง สุดท้ายความขัดแย้งของเราก็จบลงด้วยการหย่า

ความอ่อนล้าทับถมขึ้นเรื่อยๆ ผมภาวนาอยู่ในใจว่า "ถ้าชีวิตที่นี่มันบัดซบขนาดนี้ ขออยู่ที่โลกนั้นตลอดไปเลยดีกว่า..."


ไม่ว่าชีวิตผมจะยุ่งเหยิงขนาดไหน โลกนั้นก็คงอยู่ตรงไหนซักที่ในใจผมมาตลอด

แล้วความปรารถนาผมก็เป็นจริง


ระหว่างกลับจากบริษัทกลางดึกวันหนึ่ง ผมก็ไปโผล่ที่ป่านั่น คราวนี้ผมรู้ตัวทันที

ที่โลกนั้นยังเป็นตอนเช้าตรู่ บรรยากาศยังมืดสลัวอยู่แต่ผมก็คลำทางจนมาถึงหมู่บ้านได้

เป็นหมู่บ้านแห่งเดิม แม้จะมีบางอย่างที่ดูแปลกไป

แต่มีเรื่องหนึ่งที่ผมรู้ได้ทันที


พอผมลองไปที่บ้านเธอคนนั้น...

ก็เจอเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารัก อายุราวๆ 9-10 ขวบอยู่ที่นั้น

เหมือนว่าพ่อจะเสียไปแล้ว ส่วนแม่กำลังป่วยนอนซมอยู่

พอเจอตาลุงแปลกหน้าโผล่มา เธอก็ดูระวังตัวอยู่ตลอด

คนในหมู่บ้านก็เข้ามาดูสถานการณ์ เหมือนจะถามผมประมาณว่า "แก เป็นใครกัน"

ผมพูดภาษาที่นี่ได้แค่นิดหน่อย เรื่องที่อยากพูดเลยพูดได้ไม่หมด แต่ก็พยายามสื่อสารไปจนพวกเขาเข้าใจว่า "ผมหลงทางจนมาถึงที่หมู่บ้านนี้ ได้โปรดให้ผมอยู่ที่นี่ด้วยเถอะ"

แน่นอนว่าผมดูน่าสงสัย แต่พวกเขาก็ยอมให้ผมพักในบ้านที่คล้ายๆ ว่าจะเป็นบ้านของผู้อาวุโส


ถึงจะห่างหายไปเป็น 10 ปี แต่ความรู้ที่ได้มาจากที่นี่ก็ยังไม่ขึ้นสนิม ผมจึงคุ้นเคยกับชีวิตที่นี่อย่างรวดเร็ว

คนในหมู่บ้านค่อยๆ ลดความระแวงลง แม่ของสาวน้อยเสียชีวิต

ผมรับอาสาดูแลเธอ ทำหน้าที่แทนพ่อแม่ของเธอ 

เราเริ่มต้นชีวิตใหม่กันอีกครั้ง


ตอนที่ผมพบกับสาวน้อยคนนี้ครั้งแรก ผมถามชื่อเธอ และนั่นทำให้ผมเข้าใจเรื่องทั้งหมด

สาวน้อยคนนี้คือหญิงสาวที่ผมผูกสัมพันธ์ด้วยในครั้งก่อน และเป็นคุณยายที่ผมเจอตอนมาที่นี่ครั้งแรก

คนที่สอนภาษาญี่ปุ่นให้เธอก็คือผมเอง


จะว่าไปตอนผมมาที่นี่ครั้งที่ 2 ก็มีหลายครั้งที่หญิงสาวแสดงท่าทีเหมือนรู้จักผมอยู่แล้ว

บางทีเธออาจจะรู้อยู่แล้วก็ได้

แต่ก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ยังไม่คลี่คลาย

ช่วงที่เธออายุ 20-30 ปี ผมไม่ได้อยู่ที่นี่

แปลว่าตอนนั้นผมกลับไปที่โลกเดิม หรือไม่ก็ตายไปแล้ว ความเป็นไปได้มีแค่ 2 อย่างเท่านั้น

แต่แล้วผมก็ได้รู้คำตอบในปีที่ 3 ของการอาศัยอยู่ที่นี่


3 ปี... ดูเหมือนนานแต่ก็แค่แป๊บเดียว

ผมอายุจะ 40 แล้ว

บอกตามตรงว่าผมไม่อยากกลับไปโลกเดิมอีกแล้ว แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะไม่ยอมตามใจผม


วันหนึ่ง จู่ๆ ผมก็กลับมา

ที่โลกเดิมเวลาผ่านไปประมาณ 1 เดือน มือถือผมมีแจ้งเตือนฝากข้อความเสียงจากบริษัทขึ้นมาหลายสาย

ผมขาดงานโดยพลการ จึงโดนหัวหน้าเรียกไปเตือนตามความผิด แต่ก็ยังดีที่จบแค่นั้น


ที่เป็นปัญหากว่าคือสภาพภายนอกของผมต่างหาก ผมไปอยู่ต่างโลกมา 3 ปี รูปร่างหน้าตาจึงต่างจากเดิมลิบลับ

ผมหงอกเพิ่มขึ้น ผิวคล้ำแดด ร่องแก้มลึกขึ้น

ผมเลยโดนคนรอบข้างทักว่าไปเครียดอะไรมา บริษัทก็บังคับให้หยุดงาน บอกให้ไปโรงพยาบาลแทน

แต่สำหรับผมจริงๆ เรื่องพรรค์นี้จะเป็นยังไงก็ช่างเถอะ

ความคิดผมวนเวียนอยู่แค่ว่า "ถ้าไปโลกโนันไม่ได้แล้ว จะอยู่ไปก็เท่านั้น..."

ถึงแม้บางครั้งผมก็ยังไม่แน่ใจว่านั่นเป็นแค่ความฝันหรือเปล่าก็ตาม

บางทีผมก็ปลอบใจตัวเองว่าโลกแสนสุขนั้นคือความฝัน เพื่อให้ตัวเองทำใจได้

แต่ริ้วรอยบนร่างกายก็คอยบอกอยู่เสมอว่านั่นไม่ใช่ความฝัน


ผมคงไปที่โลกนั้นอีกไม่ได้แล้ว

แต่ผมก็ยังมีความหวังสุดท้ายอยู่...


ตอนที่ผมไปโลกนั้นครั้งแรก คลับคล้ายคลับคลาว่ายายเคยพูดทำนองว่า "สามีเพิ่งจะเสียไปได้ไม่นาน"

จริงๆ เรื่องแบบนี้ไม่จำเป็นต้องเอามาบอกเด็กที่ไหนก็ไม่รู้หรอก จริงมั้ยครับ

บางทีสามีที่ยายพูดถึง คงจะหมายถึงผมที่ได้ไปโลกนั้นเป็นครั้งที่ 4 และสิ้นอายุขัยลงที่นั่นก็ได้...


ผมก็ฝันเฟื่องไปเรื่อย

ถึงจะมีความฝันเฟื่องอยู่ แต่ในชีวิตที่มองไม่เห็นอนาคตดีๆ แบบนี้ ผมก็ยังเลิกมองโลกในแง่ร้ายไม่ได้อยู่ดีแหละครับ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น