ต้นฉบับของงานแปลนี้นำมาจาก https://the-mystery.org
ถ้าจะนำไปลงที่อื่น กรุณาบอกกันซักคำและให้เครดิตเว็บไซต์ต้นทางด้วย
งานนี้เป็นเรื่องสั้นหลายๆ เรื่องที่เราแปลสะสมไว้แล้วเอามาลงทีเดียว
เซ็ตต่อไปยังไม่มีกำหนดลง เพราะยังไม่ได้ทำต่อ
Part 6 มีเรื่องเดียว เป็นเรื่องยาวหน่อยนะ
✱✱✱✱✱✱✱
อ ย่ า ถ า ม อี ก
(ที่มา : https://the-mystery.org/strange_experience/moukikanaidene/)
เวลาผมเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง ผมมักโดนถามว่า
"นี่เรื่องจริงเหรอ โครตน่ากลัวเลย"
คงเป็นเพราะเรื่องนี้มันดูสมจริงกว่าเรื่องผีๆ สางๆ ละมั้ง
นี่เป็นเรื่องลึกลับที่ผมเจอมาเองกับตัว
เช้าวันหนึ่ง สมัย ป. 5 ผมเดินไปโรงเรียนพร้อมกับเพื่อนที่อยู่ชั้นเดียวกันอีก 2 คน พวกเราบ้านอยู่ใกล้ๆ กัน จึงเดินไปเรียนด้วยกันทุกวัน
เมื่อเดินไปได้ซักพัก ผมก็เห็นเด็กผู้หญิง 2 คนเดินอยู่ข้างหน้าพวกเรา
คนหนึ่งอยู่ห้องเดียวกับผม อีกคนอยู่ต่างห้อง
สายตาผมพุ่งไปที่เด็กคนที่อยู่ห้องเดียวกับผม
เพราะเธอคนนั้น "แต่งม่วงทั้งตัว"
"แต่งดำทั้งตัว" "แต่งขาวทั้งตัว" ก็เคยเห็นเคยได้ยินมาบ้าง แต่ "แต่งม่วงทั้งตัว" นี่เพิ่งเคยเจอ
ตั้งแต่เส้นผมบนหัว เสื้อผ้าไปยันรองเท้าเป็นสีม่วง เหมือนเอาเสื้อผ้าไปจุ่มในถังสีทาบ้านสีม่วงมายังไงยังงั้น
แถมปกติเด็กคนนั้นก็ไม่ใช่พวกเพี้ยนหลุดโลก เป็นเด็กผู้หญิงนิสัยธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้นเอง
ถ้าเป็นตัวผมตามปกติ ผมคงเรียกเพื่อนที่มาด้วยกันให้ดูว่า "เฮ้ยๆ ดูนั่นดิ!!" แต่ตอนนั้นไม่รู้ทำไมผมถึงไม่พูด ไม่สิ พูดไม่ออกมากกว่า
ผมเองก็อยากจะเรียกเพื่อนให้ดู แต่ความหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูกเหมือนตอนถูกผีอำกดดันจนผมพูดไม่ออก
เพื่อนอีก 2 คนที่เดินมากับผมก็น่าจะเห็นเด็กผู้หญิงคนข้างหน้าเหมือนกัน แต่พวกเขากลับไม่ทักหรือชี้นิ้วไปที่เด็กสีม่วงคนนั้นเลย เอาแต่คุยเรื่องเกมกันอย่างเมามันส์เหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ
จนกลุ่มของเราเดินไล่หลังเข้าไปใกล้คู่เด็กผู้หญิง 2 คนนั้น เพื่อนผมก็ยังไม่พูดอะไร นี่มันแแปลกๆ แล้วล่ะ
จังหวะที่ผมเดินแซงเด็ก 2 คนนั้น ผมเหลือบมองหน้าเด็กที่แต่งชุดม่วง สิ่งที่เห็นเล่นเอาผมแทบทรุด
ผิวหนังเธอเป็นสีม่วงสนิท หน้าสีม่วง แขนสีม่วง ขาสีม่วง ม่วงทั้งตัว
ผมแทบจะแหกปากร้องอยู่แล้ว แต่เด็กผู้หญิงสองคนนั้นกลับเอ่ยปากทักขึ้นมาก่อนว่า "สวัสดีจ้า"
"หวัดดี" เพื่อนผมตอบกลับ
มีแต่ผมที่ยิ้มตอบแบบเกร็งๆ
นี่มันแปลกเกินไปแล้ว ไม่มีใครทักเรื่องที่เธอเป็นสีม่วงทั้งตัวเลย
"เป็นไร ตกใจอะไรอ่ะ?" เพื่อนถามผมแบบงงๆ
หรือทุกคนรวมหัวกันอำผม แต่จะลงทุนทำขนาดนี้ไปเพื่ออะไรล่ะ
ตอนนั้นผมเริ่มสงสัยแล้วว่าหรือมีแค่ผมคนเดียวที่มองเห็น
เมื่อมาถึงห้องเรียน ผมก็ยิ่งแน่ใจนี่ไม่ใช่การหลอกกันเล่น
เพื่อนร่วมชั้นทุกคนพูดคุยกับเด็กคนนั้นตามปกติ ไม่มีใครทักเรื่องที่เธอเป็นสีม่วงทั้งตัวเลย
และที่ทำให้ผมแน่ใจที่สุดก็คือตอนเช็คชื่อก่อนเรียน
แม้แต่อาจารย์ประจำวิชาก็ไม่ทักอะไรเธอ ผมจึงมั่นใจว่ามีแค่ผมคนเดียวที่เห็นเธอเป็นสีม่วง
คำถามที่หาคำตอบไม่ได้วนเวียนอยู่ในหัวผมตลอดวัน ทั้งตอนเรียน ตอนกินข้าวกลางวัน ตอนพัก
ถ้าถามเพื่อนคนอื่นว่า "ทำไม่ยัยนั่นเป็นสีม่วง?" ผมก็อาจจะได้รู้อะไรบ้าง แต่ความหวาดหวั่นว่า "อย่าไปยุ่งกับเรื่องนี้ดีกว่า" ทำให้ผมพูดไม่ออก
แน่นอนว่าจะไปถามกับเจ้าตัวโดยตรงก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่
วันนั้น ก่อนกลับบ้านเป็นชั่วโมงทำความสะอาด
นักเรียนถูกแบ่งกลุ่มให้ไปทำความสะอาดตามจุดต่างๆในโรงเรียน ผมโดนจัดให้ไปอยู่กลุ่มทำความสะอาดสวนหลังอาคารเรียนที่บรรยากาศค่อนข้างมืดสลัว
เด็กสีม่วงคนนั้นก็โดนจัดให้มาอยู่กลุ่มเดียวกับผม
เด็กผู้หญิงที่เป็นสีม่วงทั้งตัวใช้ไม้กวาดกวาดขยะอยู่ตรงหน้าผม รอบๆไม่มีเด็กคนอื่น ถ้าจะถามก็ต้องตอนนี้เท่านั้น
"นะ... นี่ ทำไม เอ่อ..."
ความกลัวทำให้ผมเลือกคำพูดไม่ถูก แม้แต่การเปล่งเสียงก็ยังทำไม่ได้ดั่งใจ
แต่ความอยากรู้อยากเห็นก็แซงหน้าความกลัวไปได้ ผมเดินไปใกล้เธอและกลั้นใจถามออกไป
"ทำไมวันนี้เธอเป็นสีม่วงทั้งตัวล่ะ?"
พริบตานั้น เธอหันมาทางผม ไม่ใช่แค่หันหน้า แต่หันมาทั้งตัว แล้วก็
"กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด"
เธอกรีดร้องสุดเสียงด้วยสีหน้าที่ไม่น่าเชื่อว่าเด็กคนหนึ่งจะทำได้ ดวงตาเบิกโพลงจนแทบหลุดจากเบ้า อ้าปากกว้างจนเกือบฉีก
ผมก็แหกปากร้องลั่น โยนไม้กวาดทิ้งแล้วเผ่นกลับห้องเรียนทันที
ในที่สุด เสียกริ่งบอกเวลาหมดคาบทำความสะอาดก็ดังขึ้น ผมนั่งอยู่ที่โต๊ะ แต่บอกตามตรง ผมจำไม่ได้เลยว่าตั้งแต่ที่ผมวิ่งกลับมาถึงห้องเรียนจนถึงตอนที่กริ่งดัง ผมทำอะไรไปบ้าง
หลังจบโฮมรูมก็ได้เวลากลับบ้าน วันนี้ผมอยากกลับถึงบ้านให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพื่อนที่ปกติจะกลับบ้านด้วยกันติดทำกิจกรรมชมรม วันนั้นผมจึงต้องกลับบ้านคนเดียว
ตอนที่ผมเดินออกจากบริเวณตู้เก็บรองเท้า ผมเห็นเด็กสีม่วงคนนั้นเดินเข้ามาในตึกพร้อมกับเพื่อนของเธออีก 2 คน
เธอคงอยู่ทำกิจกรรมชมรมต่อ จึงใส่ชุดพละเดินสวนทางกับผม
ผมวิ่งเหยาะๆสวนกลุ่มของเธอไป เพื่อไม่ให้ตัวเองสบตากับเธอ
แต่จังหวะที่เราเดินสวนกัน ผมได้ยินเสียงเบาๆว่า
"อ ย่ า ถ า ม อี ก"
มันไม่ใช่น้ำเสียงแบบคนปกติที่พูดว่า อย่าถามอีก แต่มันเป็นเสียงโมโนโทนราบเรียบ เหมือนเสียงหุ่นยนต์หรือไม่ก็มนุษย์ต่างดาว
"อ ย่ า ถ า ม อี ก"
ผมพุ่งออกจากอาคารเรียนทันที จำไม่ได้เลยว่าวันนั้นกลับถึงบ้านได้ยังไง
เมื่อกลับถึงบ้าน ผมก็เล่นเกมอะไรไปเรี่อยเพื่อไม่ให้คิดถึงเรื่องนั้น จนกินข้าวเย็นเสร็จ ผมก็ยังพอสบายใจได้อยู่
แต่พอเข้านอน ความกลัวก็เข้าจู่โจมผมอีกครั้ง
"พรุ่งนี้ก็จะตัวม่วงมาอีกมั้ยนะ" ผมคิดและเริ่มรู้สึกไม่อยากไปโรงเรียน แต่ก็บอกพ่อแม่ไม่ได้
จิตใจผมอาจจะรับไม่ไหวไปแล้วก็ได้ วันนั้นผมหลับไปทั้งความรู้สึกหดหู่
วันต่อมา ผมไปโรงเรียนตามปกติ แล้วก็เจอเด็กผู้หญิงคนนั้นเดินอยู่กับเพื่อนเหมือนเมื่อวาน
วันนี้เธอกลับมาเป็นเด็กผู้หญิงธรรมดาๆแล้ว วินาทีนั้นผมรู้สึกโล่งใจจนน้ำตาไหลออกมาเอง
เพื่อนที่เดินไปโรงเรียนพร้อมผมต่างก็แปลกใจ ผมโดนพวกเขาแซวไปตลอดทาง แต่ด้วยความดีใจ น้ำตาผมจึงไม่หยุดไหลไปพักหนึ่ง
ตอนเดินแซงกลุ่มของเธอไป ผมแอบเหลือบมองหน้าเธอด้วยความกลัวอยู่หน่อยๆ สีผิวของเธอก็กลับมาเป็นปกติแล้วเหมือนกัน
"หวัดดี" "หวัดดี" แล้วเราก็พูดทักทายกันตามปกติ
จนถึงตอนเรียนจบ ผมก็ไม่ได้เห็นเธอคนนั้นเป็นสีม่วงทั้งตัวอีก และผมก็ไม่เคยถามเธอเกี่ยวกับเรื่องในวันนั้น
วันนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ที่เธอบอกว่า อย่าถามอีก นั่นแปลว่าเธอก็รู้เรื่องที่ตัวเองกลายเป็นมนุษย์สีม่วงอยู่แล้วรึเปล่า...
เรื่องนี้กลายเป็นเหตุการณ์ฝังใจผม บางครั้งผมก็ฝันร้ายเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย
ผมต้องเยียวยาตัวเองจากเรื่องนนั้นอยู่นาน จนในที่สุดผมจิตใจผมก็พร้อมจะเล่าให้คนอื่นฟังได้ซะที
เด็กหญิงสีม่วงคนนั้น ผมได้ข่าวมาว่าตอนนี้เธอได้แต่งงานและใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
แม้ว่าตอนนี้ เวลาผมเดินอยู่ในเมืองแล้วบังเอิญเจอคุณป้าที่ไปกัดสีผมแล้วย้อมเป็นสีม่วง ก็ยังทำเอาผมสะดุ้งอยู่ก็ตาม
แล้วก็ ตอนดูหนังเรื่อง X-MEN ที่มีตัวละครที่เป็นสีฟ้าทั้งตัวออกมา แค่ผมเห็นแวบแรก ความกลัวในวันนั้นก็ย้อนกลับมาจนผมต้องหยุดดูทันทีก็ตาม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น