วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2565

[งานแปล แก้ฟุ้งซ่าน] เรื่องสั้นแนวลึกลับจาก the-mystery.org Part 3

ต้นฉบับของงานแปลนี้นำมาจาก https://the-mystery.org 

ถ้าจะนำไปลงที่อื่น กรุณาบอกกันซักคำและให้เครดิตเว็บไซต์ต้นทางด้วย

งานนี้เป็นเรื่องสั้นหลายๆ เรื่องที่เราแปลสะสมไว้แล้วเอามาลงทีเดียว

เซ็ตต่อไปยังไม่มีกำหนดลง เพราะยังไม่ได้ทำต่อ

✱✱✱✱✱✱✱

ผ้าพันคอสีขาว

(ที่มา : https://the-mystery.org/shinrei_chotto_yoi_hanashi/shiroi-muffler/)


สมัยก่อน ปู่ผมเป็นนักบิน

รูปถ่ายปู่สมัยหนุ่มๆ เป็นรูปปู่พันผ้าพันคอสีขาว เก๊กท่าซะเท่  แต่ก็เท่จริงๆนั่นแหละ

ผมเอกก็อยากเป็นคนขับเครื่องบินรบแบบปู่เหมือนกัน แต่คุณสมบัติไม่ให้ จึงลงเอยด้วยการเป็นช่างซ่อมบำรุงเครื่องบินแทน

ตอนนั้น ปู่ที่แก่หงำเหงือกแล้วก็ยังให้กำลังใจผมว่า "ช่างเครื่องน่ะคือคนที่นักบินฝากชีวิตเอาไว้ เพราะงั้นต้องตั้งใจทำให้ดีๆนะ"


หลังจากที่ปู่เสียชีวิตไป เครื่องบินที่ผมได้รับผิดชอบการซ่อมบำรุงเป็นครั้งแรกก็เกิดขัดข้องกลางอากาศ

นักบินแจ้งมาว่า "คุมเครื่องไม่ได้" และต้องลงจอดฉุกเฉิน

แต่การคุมเครื่องลงจอดเป็นส่วนที่ยากที่สุด ผมก็ได้แต่ห่วงว่าจะทำสำเร็จหรือไม่ แต่ในที่สุด นักบินก็นำเครื่องลงจอดฉุกเฉินได้อย่างราบรื่น

หลังจากที่ได้ตรวจสอบเครื่อง ก็ไม่พบว่ามีจุดไหนที่ขัดข้องเสียหาย ขณะที่ผมกำลังแปลกใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น นักบินก็เข้ามาพูดกับผมว่า

"หลังจากที่ฉันติดต่อไปว่าคุมเครื่องไม่ได้ ก็มีคนมาอยู่ข้างๆฉัน คนคนนั้นพันผ้าพันคอสีขาว ดูคล้ายนายมากเลย เขาบอกว่า 'ไม่เป็นไร เครื่องนี้หลานฉันดูเองกับมือ ลงจอดได้ปลอดภัยแน่นอน' "

พอได้ฟังแบบนั้น ผมจึงเอารูปปู่ที่ผมพกไว้กับตัวให้เข้าเขาดู

"ใช่ๆ คนนี้แหละ ปู่นายนี่สุดยอดเลยนะ"

เขาบอกอย่างงั้น


หลังจากนั้น ผมก็ได้รับความเชื่อถึอจากนักบินว่า "ถ้าเป็นเครื่องที่ช่างคนนั้นดูล่ะก็ ไม่มีทางตกแน่นอน"

ด้วยเหตุนี้ ผมจึงยังเป็นช่างซ่อมบำรุงเครื่องบินมาจนถึงทุกวันนี้


✱✱✱✱✱✱✱

โทรศัพท์จากคนตาย

(ที่มา : https://the-mystery.org/shinrei_chotto_yoi_hanashi/nakunatta_hito_kara_no_denwa/)


เรื่องที่ว่าคนตายโทรศัพท์มาหาอาจจะมีอยู่จริงก็ได้


ตอนที่ลูกชายผมอยู่ ม. ต้น เขามีแผนจะปั่นจักรยานวนรอบภูมิภาคชิโกกุในช่วงปิดเทอมฤดูร้อน

ผมอนุญาตให้ลูกไปโดยให้พกมือถือไปด้วยและบอกให้โทรมาทุกวัน...

หลังจากที่ลูกออกเดินทางไปได้หลายวัน ยายของเขาก็เสียชีวิต ลูกของผมรักยายมาก ผมกลัวว่าถ้าบอกไปลูกจะช็อคและหยุดเดินทางกลางคัน จึงตัดสินใจปิดเรื่องไว้จนกว่าเขาจะกลับมา


แล้วลูกชายผมก็ปั่นจักรยานวนรอบชิโกกุได้สำเร็จและกลับถึงบ้านในวันที่ 25 สิงหาคม


เมื่อกลับมาถึง ลูกผมก็เล่าให้ฟังว่า

"คุณยายโทรมาคุยด้วยทุกวัน เลยมีกำลังใจปั่นจนครบรอบ"

ยายที่ลูกพูดถึงย่อมหมายถึงยายที่เสียไปแล้ว แต่พอเปิดโทรศัพท์ดูประวัติการโทร ปรากฎว่าไม่มีข้อมูลเหลืออยู่เลย

"เมื่อวานผมเผลอไปกดรีเซ็ตเครื่องเข้าน่ะ ข้อมูลเลยหายหมด" ลูกชายผมว่าอย่างงั้น


ลูกชายผมไม่ใช่เด็กที่ชอบพูดโกหก แล้วในช่วง 9 วันที่เขายังไม่รู้ว่ายายเสียแล้ว ใครโทรมาคุยกับเขากันแน่

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็ชวนอบอุ่นหัวใจดีเหมือนกัน


✱✱✱✱✱✱✱

ความฝันวันที่ 49


นี่เป็นเรื่องสมัยที่ผมอยู่มหาวิทยาลัย
ถึงจะเข้ามหาวิทยาลัยที่อยากเข้าได้ แต่ก็ยังหาทางที่ตัวเองอยากไปไม่เจอ ตอนนั้นผมเอาแต่ทำงานพาร์ทไทม์ไปวันๆ ไม่เคยเข้าเรียนเลย

วันหนึ่ง ตอนที่ผมยืนอ่านหนังสืออยู่ในร้าน สายตาก็ไปสะดุดกับคำว่า "เรียนภาษาที่ต่างประเทศ" เข้า 
อันที่จริงผมไม่ได้สนใจภาษาอังกฤษหรอก พูดก็ไม่ได้ แต่ไม่รู้ทำไมตอนนั้นผมถึงปิ๊งขึ้นมาว่า "นี่แหละ!"
ผมกลับบ้านทันที แล้วคืนนั้นก็ไปบอกกับพ่อแม่ว่า
"ผมจะดรอปเรียนมหาลัยนะ ผมอยากไปเรียนภาษาที่ต่างประเทศ"
พ่อคัดค้าน แต่แม่กลับยอมง่ายๆ ว่า
"ชีวิตมีครั้งเดียว อยากทำอะไรก็ทำเถอะลูก"

หลังจากนั้นผมก็หาข้อมูลจากหลายๆที่ และเตรียมตัวเดินทางไปพร้อมๆกัน

หนึ่งสัปดาห์ก่อนออกเดินทาง แม่ต้องไปนอนโรงพยาบาลเพื่อตรวจสุขภาพ
ตอนผมอยู่ ม. ปลาย แม่เป็นมะเร็งมดลูก จึงต้องผ่าตัดเอามดลูกออกทั้งหมด หมอบอกว่า
"ถ้าหลังผ่าตัดไป 5 ปีแล้วไม่มีอาการอะไรก็ถือว่าหายสนิท"
ซึ่งตอนนั้นก็ผ่านไป 4 ปีแล้ว

ปกติแม่ต้องนอนโรงพยาบาล 1-2 สัปดาห์เพื่อเตรียมตัวเข้ารับการตรวจ แม่พูดกับผมว่า
"แม่ต้องเข้าโรงบาล งั้นก็ไปส่งลูกที่สนามบินไม่ได้แล้วสิ"
ผมเลยบอกว่า "ไม่เป็นไร เดี๋ยวก่อนไปสนามบินผมจะแวะมาโรงบาลก่อน"

แล้วก็ถึงวันที่ผมจะออกเดินทาง
ผมบินไฟลท์ 10 โมงเช้า จึงแวะมาโรงพยาบาลตั้งแต่ 7 โมงครึ่ง
ปกตินี่ยังเป็นเวลาห้ามเยี่ยม แต่ผมขอกับนางพยาบาลไว้จึงได้เข้ามาก่อน
ผมคุยกับแม่อยู่ประมาณ 30 นาที ก่อนจะบอกลา
"ได้เวลาแล้ว ผมต้องไปแล้วล่ะ"
แม่ตอบว่า
"โชคดีนะลูก"
แล้วก็หยิบห่อที่ซ่อนไว้ใต้หมอนส่งให้ผม
พอคิดว่าจะไม่เจอแม่ตั้ง 1 ปี ก็ใจหายอยู่เหมือนกัน 
แต่ก่อนออกจากห้องผู้ป่วย ผมยิ้มให้แม่และทิ้งท้ายไว้ว่า
"พอออกจากโรงบาลแล้วอากาศอุ่นขึ้นก็ไปเยี่ยมผมบ้างล่ะ" 

ระหว่างนั่งรถบัสไปสนามบิน ผมแกะห่อที่แม่ให้ออกมาดู ข้างในมีนาฬิกาข้อมือกับจดหมาย
ผมเก็บจดหมายใส่เป้ ใส่นาฬิกาเข้ากับข้อมือ

ในที่สุด ผมก็คุ้นเคยกับชีวิตในต่างแดน ภาษาอังกฤษที่เมื่อก่อนพูดไม่ได้เลยสักนิด ตอนนี้ก็พูดได้คล่องพอๆกับภาษาญี่ปุ่น
ที่แม่สัญญาไว้ว่า "ถ้าออกจากโรงพยาบาลแล้วจะไปหา" ผมก็ทวงผ่านจดหมายและโทรศัพท์ไปหลายครั้ง และทุกครั้งแม่ก็จะตอบว่า "ไว้แม่แข็งแรงกว่านี้ก่อนนะ"
แต่ถึงกระนั้น ผมก็ยังเชื่อว่าสักวันหนึ่ง พ่อ แม่และพี่สาวจะมาเยี่ยมผม
ผมถึงขั้นวางแผนทัวร์แหล่งท่องเที่ยวดังเตรียมไว้เลยด้วยซ้ำ

แล้วเวลาก็ผ่านไปอีกระยะหนึ่ง
นาฬิกาที่แม่ให้มา จู่ๆ ก็หยุดเดิน
ตอนนั้นผมยังคิดว่าไว้พรุ่งนี้ค่อยไปเปลี่ยนถ่านแล้วกัน
แต่วันต่อมา ก็มีโทรศัพท์มาถึงผม
เมื่อรับโทรศัพท์ เสียงพ่อพูดมาตามสายว่า
"แม่อาการทรุดกระทันหัน รีบกลับบ้านด่วน"
หัวผมหมุนติ้ว ผมจองตั๋วเครื่องบินกลับญี่ปุ่นทันทีทั้งที่สมองยังจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูก

เมื่อกลับถึงญี่ปุ่น ผมรีบบึ่งไปที่โรงพยาบาลทันที
ผมตรงไปที่ช่องติดต่อสอบถาม ซึ่งตอนนั้นเป็นเวลากลางคืนแล้วจึงไม่มีเจ้าหน้าที่นั่งอยู่ด้านหน้า ผมส่งเสียงดังให้เจ้าหน้าที่ที่อยู่ด้านในได้ยิน
"ขอโทษนะครับ ผมเป็นลูกของOO แม่ผมอยู่ห้องไหนเหรอครับ"
เจ้าหน้าที่มองหน้ากัน แล้วตอบผมว่า
"เสียใจด้วยนะคะ คนไข้ท่านนั้นเสียชีวิตไปตั้งแต่เมื่อคืนวานแล้วค่ะ"
"หา? เดี๋ยวนะครับ ชื่อOOนะครับ"
"ค่ะ คุณOO เสียชีวิตไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วค่ะ"
ใจผมยังไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน จึงขอยืมโทรศัพท์ของโรงพยาบาลโทรไปที่บ้าน
ผมเชื่อ ไม่สิ ยังอยากเชื่อว่าคนที่จะมารับโทรศัพท์คือแม่ของผม
แต่ว่าสิ่งที่ผมได้ยินมีเพียงประโยคของระบบฝากข้อความ
"กรุณาฝากข้อความหลังได้ยินเสียงสัญญาณ..."

บอกตามตรงว่าตอนนั้นผมสติแตกไปแล้ว สมัยนั้นยังไม่มีโทรศัพท์มือถือ ผมจึงติดต่อคนในครอบครัวไม่ได้เลย
ผมขอให้เจ้าหน้าที่ช่วยเช็คให้ว่าตอนนี้ร่างแม่อยู่ที่ไหน จนในที่สุดก็ได้ชื่อสถานที่จัดงานศพและเบอร์โทรติดต่อมา
ผมได้คุยกับพี่สาว พี่มารับผมที่โรงพยาบาลโดยที่ผมก็ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
เมื่อไปถึงสถานที่จัดงาน ผมได้เปิดโลงดูหน้าแม่ แต่น่าแปลกที่ผมกลับไม่รู้สึกเศร้าหรือร้องไห้ฟูมฟายเลย
บางที คงเป็นเพราะผมยังยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้กระมัง

ผ่านไป 2 วัน ผมก็ยังทำใจรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ หลังจบงานศพ ผมมองโกศใส่เถ้ากระดูกแม่ด้วยความรู้สึกว่างเปล่า
เมื่อแม่ไม่อยู่บนโลกนี้อีกแล้ว ความเสียใจที่ไม่ได้มาพบหน้าเป็นครั้งสุดท้าย ความซาบซึ้งที่ยอมให้ผมไปเรียนต่างประเทศผุดขึ้นมาในใจ น้ำตาผมเริ่มไหลซึมออกมาเรื่อยๆ เรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด

ผ่านไป 7 วัน ผ่านไป 1 เดือน ผมกลับมานั่งเหม่ออยู่บ้านทั้งวัน ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งนั้น
ช่วงนั้น ผมฝันเห็นแม่สมัยที่ยังแข็งแรงอยู่หลายครั้ง ถ้าเป็นไปได้ ผมก็ไม่อยากลืมตาตื่นจากความฝันนั้นเลย
ผมรู้สึกว่าถ้านอนหลับก็จะได้เจอแม่ในฝัน ซึ่งจริงๆช่วงนั้นผมก็ฝันเห็นแม่แทบทุกวัน

วันหนึ่ง ผมเข้านอนเร็วเหมือนที่ผ่านมา สักพักก็ได้เจอแม่ในความฝันอีก
แต่ความฝันวันนี้ไม่เหมือนกับที่ผ่านมา

แม่อยู่บนเรือ พูดกับผมว่า
"แม่ต้องไปแล้วล่ะ ดูแลตัวเองให้ดี ชีวิตมีครั้งเดียว ให้ใช้สนุกนะลูก"
ผมตอบแม่ว่า "อาทิตย์หน้าผมจะไปเก็บข้าวของในอพาร์ทเม้นท์ที่ต่างประเทศ แม่ไปด้วยกันนะ"
"แม่ไปไม่ได้หรอก ลูกดูแลสุขภาพให้ดีๆล่ะ แม่คอยดูอยู่นะ"
ในฝัน ผมร้องไห้ฟูมฟาย จับมือแม่ไว้แน่น แม่ก็บีบมือผมกลับเช่นกัน
แล้วเรือที่แม่นั่งอยู่ก็เริ่มออกตัว มือของเราก็ถูกแยกออกจากกัน
ตอนที่ผมกำลังจะไล่ตามเรือนั้นไป ผมรู้สึกเหมือนจะวูบหมดสติ แล้งก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาบนที่นอน
ผมร้องไห้ มือผมยังมีความรู้สึกตอนที่จับมือแม่หลงเหลืออยู่
คืนนั้นผมนอนไม่หลับอีกจนเช้า
เมื่อดูปฏิทิน ถึงได้รู้ว่านั่นเป็นวันครบรอบวันตาย 49 วันของแม่
หลังจากนั้น ผมก็ไม่ได้ฝันเห็นแม่อีกเลย
บางคนอาจมองว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือผมฝันเป็นตุเป็นตะไปเอง แต่มันจะลงตัวได้ขนาดนี้เลยหรือ

แม่ครับ ขอบคุณนะครับ
หลังจากตอนนั้น ผมลาออกจากมหาวิทยาลัยที่ดรอปเรียนไว้ แต่ก็ได้เอาประสบการณ์ตอนที่อยู่ต่างประเทศมาใช้เปิดกิจการของตัวเอง ตอนนี้ก็ไม่ลำบากเรื่องอยู่เรื่องกินแล้วล่ะครับ

*ตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่น หลังเสียชีวิตได้ 49 วัน วิญญาณจะนั่งเรือข้ามแม่น้ำซันสึจากโลกคนเป็นไปโลกวิญญาณ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น