วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2565

[งานแปล แก้ฟุ้งซ่าน] เรื่องสั้นแนวลึกลับจาก the-mystery.org Part 2

ต้นฉบับของงานแปลนี้นำมาจาก https://the-mystery.org 

ถ้าจะนำไปลงที่อื่น กรุณาบอกกันซักคำและให้เครดิตเว็บไซต์ต้นทางด้วย

งานนี้เป็นเรื่องสั้นหลายๆ เรื่องที่เราแปลสะสมไว้แล้วเอามาลงทีเดียว

เซ็ตต่อไปยังไม่มีกำหนดลง เพราะยังไม่ได้ทำต่อ

✱✱✱✱✱✱✱

เมล์จากยูกิ



นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับฉันตอนฤดูใบไม้ผลิ
จู่ๆ ก็มีเมล์ที่ไม่รู้จักส่งมาหาฉันว่า
"จากยูกิเองจ้า OOจัง (ชื่อฉัน) วันนี้ใส่เสื้อน่ารักจุงเบย (>∀<)"
แล้วก็เริ่มมีเมล์อื่นตามมา อย่างเช่น
"เมื่อกี้ลืมร่มไว้ในรถไฟนะ ขี้ลืมจังเลยนะเธอว์ (^。^o)"

เนื้อหาเมล์แต่ละอันเหมือนเธอกำลังจับตาดูฉันอยู่ตลอด
ฉันรู้สึกไม่สบายใจจึงเปลี่ยนเมล์ใหม่ แต่ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปกี่ครั้งเธอก็ส่งเมล์มาหาอยู่ดี
บางครั้ง เธอเมล์มาทั้งๆ ที่ฉันยังไม่ได้บอกเรื่องเปลี่ยนเมล์กับใครเลยด้วยซ้ำ

ตอนแรกฉันคิดว่าอีกฝ่ายเป็นสตอล์กเกอร์ธรรมดาๆ แต่ก็มีบางครั้งที่เธอส่งเมล์คล้ายๆ คำทำนายเวลาดูดวงมาด้วย
"ที่นัดกับเพื่อนวันนี้ ไปสายซักชั่วโมงก็ได้นะ"
ตอนแรกฉันไม่สนใจและเตรียมตัวจะออกไปตามเวลานัด แต่สักพักเพื่อนคนนั้นก็ติดต่อมาว่ายังเลิกงานไม่ได้ ขอไปช้าประมาณ 1 ชั่วโมง

เคยมีครั้งหนึ่งที่เมล์จากยูกิบอกว่า
"ดูในกระเป๋ากระโปรงสีดำให้ดี!!"
วันนั้น ฉันไปสถานที่แห่งหนึ่งที่ปกติแทบไม่ได้ไป แล้วก็แวะเดินเล่นในตลาดเปิดท้ายขายของแถวๆ นั้น จนเจอกระโปรงที่ถูกใจเข้าตัวหนึ่ง
ข้อความในเมล์นั้นแวบเข้ามาในหัว ฉันจึงลองล้วงกระเป๋ากระโปรงนั้นดู ปรากฎว่ามีเงินหมื่นเยนอยู่ในนั้น

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ฉันถูกผู้ชายที่เพิ่งรู้จักกันสารภาพรัก คืนนั้นฉันกำลังคิดว่า "จะเอาไงดีน้า~" อยู่นั้นเอง
"ที่จริงเขามีแฟนแล้วนะ ระวังไว้ล่ะ!!"
เมล์นี้ก็ถูกส่งมา ทั้งๆที่ฉันยังไม่ได้เอาเรื่องนี้ไปปรึกษาใครเลย
ที่ผ่านมา เมล์จากเธอคนนี้ไม่เคยโกหกหรือพลาดเลยแม้แต่ครั้งเดียว ฉันจึงไปถามคาดคั้นผู้ชายคนนั้นจนเขายอมรับว่าที่จริงก็มีแฟนอยู่แล้ว

ฉันเคยเมล์กลับไปถามเรื่องของเธอ แต่เธอก็บอกแค่ว่าเธอชื่อยูกิ
เธอบอกว่าเธอชอบฉันมากๆ แต่สำหรับฉัน ผู้หญิงด้วยกันยังไงมันก็ดูไม่ใช่อยู่ดี...
ที่ผ่านมาเธอไม่เคยพูดข่มขู่หรือกดดันฉัน เมล์ที่ส่งมาก็แค่ประมาณวันละ 4 ฉบับ ที่จริงมันก็ไม่ได้ทำให้ฉันเดือดร้อนเท่าไหร่ แต่ความรู้สึกเหมือนถูกมองอยู่ตลอดเวลาก็ทำให้ฉันไม่สบายใจอยู่ดี

มีอยู่วันหนึ่ง ฉันอยากลองทดสอบอะไรบางอย่างขึ้นมา ฉันจึงเดินทางไปจังหวัดอื่น จากนั้นก็ส่งเมล์หายูกิว่า
"รู้มั้ย ตอนนี้ฉันทำอะไรอยู่"
ยูกิก็ตอบกลับมาแทบจะทันทีว่า
"OOจังตอนนี้นั่งดื่มคาปูชิโน่ คาราเมลอยู่ที่สตาร์บัคเมืองOO เมื่อเช้าคิดอยู่ใช่มั้ยล่ะว่าจะใส่รองเท้าเปิดส้นคู่ไหนออกไปดี ชั้นว่าคู่สีชมพูน่ารักดีนะ (゜∀゜)/"

...ตรงหมดทุกอย่าง
แม้แต่ตอนนี้เธอก็คงดูฉันอยู่แน่ๆ


✱✱✱✱✱✱✱

แผ่นเกมจำนวนมาก


เมื่อประมาณ 10 ปีก่อน ผมทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านขายแผ่นเกม
วันหนึ่ง ตอนใกล้ปิดร้าน จู่ๆก็มีคุณป้าอายุประมาณ 60 ปีหอบลังกระดาษขนาดใหญ่เข้ามาในร้าน แล้วก็พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า "ช่วยรับไว้ของพวกนี้ทั้งหมดไว้ทีเถอะ เงินทองฉันไม่เอา!"
ในลังนั้นมีแผ่นเกมจำนวนมากอยู่ เราเลยจะถามว่าแน่ใจแล้วหรือที่จะยกให้ แต่ป้าแกดันรีบร้อนออกจากร้านไป ผมกับผู้จัดการร้านจึงได้แต่ลำบากใจ
ผู้จัดการร้านบอกว่า ป้าคนนั้นเป็นลูกค้าประจำ ชอบมาซื้อเกมที่ร้านบ่อยๆ ถึงจู่ๆ จะเอาแผ่นเกมมากมายขนาดนี้มาให้ก็ไม่อยากสงสัยมาก ผมเองก็กลัวๆ เลยไม่คิดอะไรต่อเหมือนกัน

เสียงเพลงบอกเวลาปิดร้านดังขึ้น เราจึงวางลังใส่แผ่นเกมทิ้งไว้บนเคาน์เตอร์แล้วกลับบ้าน กะว่าพรุ่งนี้จะมาดูสภาพแผ่นอีกที
แต่วันต่อมา แผ่นเกมในลังกลับหายไปหมด 
ผู้จัดการร้านเปรยว่า "ช่างมันเถอะ ไม่ต้องไปคิดถึงมันหรอก"

หลังจากนั้น ผมได้ข่าวว่าป้าคนนั้นฆ่าตัวตาย ในบ้านของป้าพบศพลูกชายที่เป็นฮิคิโคโมริมานานหลายปีถูกฆ่าตาย เรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่พื้นที่ผมอยู่พักนึง...
ทำไมจู่ๆ ป้าแกถึงได้รีบร้อนเอาแผ่นเกมมากมายขนาดนั้นมาให้ แล้วตอนนี้แผ่นเกมพวกนั้นไปอยู่ที่ไหน คิดไปคิดมาก็น่าขนลุกเหมือนกัน

✱✱✱✱✱✱✱

โทรศัพท์ก่อกวน


วันหนึ่ง มีเบอร์ที่ไม่รู้จักโทรเข้าเครื่องผม ปลายสายเป็นเสียงผู้หญิงท่าทางมีอายุ ถามว่า "ซุซุกิซังใช่มั้ย?"
แต่ผมชื่อทานากะ (นามสมมติ) เลยตอบไปว่า "ไม่ใช่ครับ" อีกฝ่ายก็ถามต่อว่า "งั้นนั่นใครน่ะ?"
ผมแปลกใจและโมโหขึ้นมานิดๆ จึงตอบไปว่า "ไม่บอกครับ จู่ๆ มาถามกับแบบนี้มันเสียมารยาทนะครับ" แล้วก็ตัดสายไป

ผ่านไปอีกหลายวัน ก็มีเบอร์ไม่รู้จัก (น่าจะเป็นเบอร์เดิม) โทรเข้าเครื่องผมอีก
พอรับสาย เสียงป้าคนเดิมก็ถามว่า "ซุซุกิซังใช่มั้ย?" "ไม่ใช่ครับ" ผมตอบแค่นั้นแล้วก็ตัดสาย บล็อกเบอร์

ผ่านไปอีกประมาณ 1 สัปดาห์ มีเบอร์แปลกโทรหาผมอีกแล้ว
ผมนึกในใจว่า "ทำไมหมู่นี้มาบ่อยจังฟะ" แล้วก็รับสาย แต่ไม่พูดอะไร ปลายสายยังเป็นเสียงยัยป้านั่นอีกแล้ว
"ซุซุกิซัง? ซุซุกิซังใช่มั้ย?"
รอบนี้เสียงป้าแกดูดีใจยังไงไม่รู้ แต่ผมรู้สึกกลัวๆ เลยตัดสายไปโดยไม่ได้พูดอะไร
ทันใดนั้นโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้นอีกรอบ ผมทั้งตกใจและโมโหมาก รอบนี้เลยกะจะพูดแรงๆหน่อย
"อ๊ะ ซุซุกิซัง ซุซุกิซังรึเปล่า?"
ทำเสียงดีอกดีใจอีกแล้ว
"ไม่ใช่ ก่อนจะโทรก็แหกตาดูเบอร์ก่อนสิครับ โทรผิดซ้ำๆซากๆ อยู่ได้ รำคาญ!"
ผมพูดไปด้วยความโกรธ... แล้วป้าก็ตอบด้วยโทนเสียงต่ำเหมือนเสียงผู้ชายว่า

"อื้ม ทานากะก็เป็นซะอย่างงี้ล่ะน้า"

แล้วก็วางสายไป
ผมกลัวมากจนสะดุ้งทุกครั้งที่มีคนโทรเข้าไปพักนึงเลยล่ะ


✱✱✱✱✱✱✱

คดีที่บ้านนอก


นี่เป็นเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคดีที่เกิดขึ้นจริง

เมื่อ 15 ปีก่อน ตอนนั้นผมอายุประมาณ 10 ขวบ
หมู่บ้านของผมเป็นเขตโคตรบ้านนอกของจังหวัดบ้านนอกอย่างยามากาตะ คนบ้านใกล้เรือนเคียงก็เหมือนเป็นญาติๆ กันทั้งนั้น
ใกล้ชิดกันชนิดที่ว่าแค่เห็นหน้าก็รู้แล้วว่าเป็นลูกหลานบ้านไหน

การออกจากบ้านโดยไม่ล็อกประตูหน้าต่างก็เป็นเรื่องธรรมดาของที่นี่
แต่จู่ๆ หมู่บ้านชนบทแห่งนี้ก็เกิดคดีฆาตกรรมขึ้น
ผู้พบศพคนแรกคือลุงข้างบ้าน
ลุงเล่าว่าลุงออกไปเก็บหัววาซาบิแถวๆ ลำธารแต่เช้าตรู่ แล้วก็เจอศพผู้เคราะห์ร้ายไหลตามน้ำมา
ผู้เคราะห์ร้ายเป็นคุณยายที่อาศัยอยู่คนเดียวในหมู่บ้านเดียวกัน
ยายคนนั้นมักจะเข็นรถเข็นที่มีตะกร้าอยู่ข้างบนออกมาเดินเล่น ระหว่างทางก็ยิ้มแย้มทักทายคนนู้นคนนี้ว่า "อากาศดีจังเนาะ..." อย่างมีอัธยาศัย

ตอนเกิดเรื่อง ผมยังเป็นเด็กประถม พอคดีฆาตกรรมที่เคยเห็นแต่ในทีวีมาเกิดขึ้นใกล้ตัวก็กลัวเอามากๆ
ด้วยความที่เกิดเหตุในชนบท พวกผู้ใหญ่ก็พากันแตกตื่นเหมือนผึ้งแตกรัง
ตำรวจก็เข้ามาไล่ถามหาแบะแสจากบ้านทีละหลัง แต่ก็ยังไม่รู้ตัวคนร้าย
พวกผู้ใหญ่เริ่มลือกันว่าเป็นฝีมือของคนนอกที่พื้นที่ที่บังเอิญผ่านมารึเปล่า
แล้วก็ผ่านไปเกือบ 3 เดือน ถึงจะจับคนร้ายได้

คนร้ายคือตำรวจ...
สาเหตุคือตำรวจไปยืมเงินคุณยายคนนั้น แล้วเกิดทะเลาะกันเรื่องต้องคืนที่ดินที่ยายแกให้ยืมไป สุดท้ายเขาก็ใช้เชือกไนลอนที่อยู่แถวนั้นฆ่ารัดคอคุณยาย แล้วเอาศพไปทิ้งที่ลำธาร
แต่ผมเห็น
ผมเห็นสีหน้าของตำรวจที่มาถามหาเบาะแส ซ้อนทับกับใบหน้าอาฆาตแค้นของคุณยายคนนั้น
และคงไม่ใช่แค่นั้น

จากตรงนี้ไปเป็นข้อสันนิษฐานของผมนะครับ...
ตำรวจคนนั้นมีปัญหาเรื่องเงินจริง
แต่คนที่เขาไปยืมเงินไม่ได้มีแค่คุณยายคนเดียว
เหมือนเขาจะติดพนัน จึงไปหาเงินมาจากหลายๆที่ ทั้งขายบ้านตัวเอง, เงินจากงานศพพ่อแม่, ให้เช่าที่นาที่ไม่ใช่ของตัวเอง
ดังนั้น สถานะทางสังคมของตำรวจคนนี้จึงค่อนข้างติดลบ
ส่วนคุณยายคนนั้นเป็นเจ้าของที่ดินของเกือบทั้งหมู่บ้าน
ยายให้คนในหมู่บ้านใช้ที่ดินของตัวเองฟรีๆ
แต่ช่วงก่อนเกิดเหตุ คุณยายกำลังจะขายที่ให้กิจการหนึ่งที่มาจากจังหวัดอื่น
แน่นอนว่าถ้าคุณยายขายที่ไป คนในหมู่บ้านจำนวนไม่น้อยจะต้องเดือดร้อนเรื่องที่ทำกิน

หลังงานศพยาย คนในหมู่บ้านยังคงอาศัยและทำกินในที่ดินของยายต่อไป เพราะเหมือนตามกฎหมายแล้วกรรมสิทธิ์ในที่ดินจะกลายเป็นของคนในหมู่บ้าน
ดังนั้น เมื่อผมอายุ 18 ผมก็ออกจากหมู่บ้านมาอยู่เมืองหลวง และไม่กลับไปที่นั่นอีกเลย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น