วันพุธที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

[งานแปล แก้ฟุ้งซ่าน] เงือกน้อย

เดือนนี้ของดแปลเพลง เอานิทานที่แปลทิ้งไว้มาให้อ่านแทนกันไปก่อน


เงือกน้อย

    ห่างจากชายฝั่งทะเลออกไปไกลแสนไกล ณ ที่ที่น้ำทะเลสะอาดบริสุทธิ์ สีของน้ำเป็นสีฟ้าเข้มสวยงามเหมือนกลีบดอกคอร์นฟลาวเวอร์และใสกระจ่างดั่งแก้ว ณ ที่นั้น ลึกลงไปไกลแสนไกล ไกลจนไม่ว่าอวนที่ยาวขนานไหนก็ไม่อาจเหวี่ยงลงไปถึงก้นทะเลได้ และจากก้นทะเลขึ้นมาถึงผิวน้ำก็มีระยะทางเท่าหอคอยของโบสถ์วางตั้งซ้อนกันไม่รู้กี่ชั้นต่อกี่ชั้น ณ ที่กลางทะเลลึกนั้นมีเหล่าเงือกอาศัยอยู่

    ทุกท่านอย่าได้คิดว่าที่ก้นทะเล นอกจากผืนทรายสีขาวแล้วก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ที่นั่นมีต้นไม้ที่แสนสวยงาม มีต้นหญ้าเติบโต มีใบไม้และกิ่งก้านอันแสนบอบบาง การเคลื่อนที่ของสายน้ำเพียงเล็กน้อยก็ทำให้ยอดไม้ใบไม้เหล่านั้นโบกสะบัดพลิ้วไหวดั่งมีชีวิต

    หากบนบกมีเหล่าวิหคโผบินไปมา ในน้ำก็มีเหล่าปลาน้อยใหญ่ว่ายโฉบเฉี่ยวลอดผ่านกิ่งไม้เช่นกัน


    ณ ก้นทะเลที่ลึกที่สุดมีปราสาทของราชาเงือกอยู่ กำแพงปราสาททำจากปะการัง หน้าต่างยอดโค้งแหลมทำจากอำพันโปร่งใส เหล่าหอยมากมายจับตัวกันเป็นหลังคา หอยจะเปิดปิดฝาของมันตามการเคลื่อนไหวของน้ำทะเล ภาพนี้ช่างงดงามอย่างไร้ที่เปรียบ เพราะหอยแต่ละตัวต่างมีไข่มุกอยู่ข้างใน แค่นำไข่มุกนั้นแค่เพียงเม็ดเดียวมาประดับมงกุฎของราชินีก็สร้างความสง่างามได้อย่างเหลือล้นแล้ว

ราชาเงือกผู้อาศัยอยู่ที่ปราสาทแห่งนั้น แม้จะสูญเสียองค์ราชินีไปหลายปีแล้วแต่ก็มิได้สมรสใหม่ ดังนั้นการจัดการงานต่างๆในปราสาทจึงเป็นหน้าที่ของท่านแม่ผู้ชรา ท่านแม่ของราชาเงือกมีสติปัญญาเฉียบแหลมและภาคภูมิใจในชาติกำเนิดอันสูงส่งของตนมาก ที่หางของนางมีหอยนางรมติดอยู่ถึง 12 ตัว ขณะที่เงือกอื่น ไม่ว่าจะมาจากตระกูลที่สูงส่งขนาดไหนก็นางก็อนุญาตให้ติดได้แค่ 6 ตัวเท่านั้น แต่หากตัดความเย่อหยิ่งนี้ไป นางก็เป็นคนที่น่าชื่นชมในทุกๆด้านอย่างแท้จริง โดยเฉพาะความรักที่นางมีให้กับเหล่าเจ้าหญิงเงือกองค์น้อยๆทั้งหลาย


    เจ้าหญิงเงือกมีทั้งหมด 6 องค์ แต่ละองค์ล้วนน่ารักน่าเอ็นดู โดยเฉพาะเจ้าหญิงเงือกองค์สุดท้องที่สวยที่สุดในบรรดาพี่น้อง ผิวของเธอเนียนละเอียดสวยงามดั่งกลีบกุหลาบ ดวงตาเป็นสีฟ้าครามเหมือนสีของทะเลลึก แต่ก็เช่นเดียวกับพี่น้องทุกคน เธอไม่มีขา ร่างกายของเธอตั้งแต่ช่วงท้องลงไปเป็นหางปลา

    ทุกๆวัน เหล่าเจ้าหญิงเงือกจะเล่นกันอยู่ที่ห้องโถงในปราสาท ที่ผนังมีดอกไม้บานอยู่ หากยกบานหน้าต่างอำพันขึ้นฝูงปลาก็จะว่ายน้ำเข้ามาหาเหมือนเวลาที่เราเปิดหน้าต่างแล้วมีนกนางนวลบินมาหา เหล่าปลาต่างว่ายมาใกล้องค์หญิงน้อย กินอาหารจากมือเจ้าหญิงบ้าง ให้ลูบตัวเล่นบ้าง


    ด้านนอกปราสาทมีสวนขนาดใหญ่ ในสวนมีทั้งต้นไม้สีแดงเหมือนไฟและสีฟ้าสดใส กิ่งก้านของต้นไม้เหล่านั้นต่างโยกไหวอยู่ตลอดเวลา ทำให้ผลของมันสะท้อนแสงระยิบระยับเหมือนทอง ส่วนดอกไม้ก็ส่องประกายวูบไหวดั่งเปลวเพลิง พื้นดินของสวนเป็นทรายเม็ดละเอียดส่องแสงสีฟ้าเหมือนสีของเปลวไฟยามเผากำมะถัน

    ด้วยประกายแสงสีฟ้าที่สว่างไสวทำให้ไม่น่าเชื่อเลยว่าที่นี้คือก้นทะเล ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ทั้งด้านบน ด้านล่าง ก็มองเห็นแต่สีฟ้าคราม ราวกับว่าเรากำลังลอยสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า หากกระแสลมสงบก็จะมองเห็นพระอาทิตย์เป็นเหมือนดอกไม้สีม่วง การมองดวงอาทิตย์จากก้นทะเล ทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าดวงอาทิตย์กำลังฉายแสงมาที่เรามากที่สุดในโลก


    เหล่าเจ้าหญิงน้อยต่างมีแปลงดอกไม้เล็กๆของตัวเองอยู่ในสวน เจ้าหญิงสามารถมาปลูกดอกไม้ พรวนดินได้ตามใจชอบในแปลงนี้ เจ้าหญิงองค์หนึ่งทำแปลงของตัวเองเป็นรูปปลาวาฬ อีกคนทำเป็นรูปนางเงือกน่ารักน่าเอ็นดู ส่วนเจ้าหญิงองค์เล็กสุดทำแปลงดอกไม้เป็นวงกลมและปลูกดอกไม้สีแดงสดเหมือนพระอาทิตย์

    เจ้าหญิงองค์เล็กค่อนข้างต่างจากพวกพี่ๆ เธอเป็นเด็กเงียบๆ ชอบใช้ความคิด ขณะที่พวกพี่สาวเก็บของแปลกตาจากเรือล่องน้ำตื้นมาเล่นและทำเป็นเครื่องประดับ เจ้าหญิงเงือกองค์เล็กกลับเก็บดอกไม้สีแดงเหมือนดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงอยู่บนฟ้าไกลกับรูปปั้นหินอ่อนแสนสวยมาเก็บไว้อย่างทะนุถนอมเท่านั้น รูปปั้นนั้นเป็นรูปเด็กหนุ่มรูปงาม ทำจากหินอ่อนสีขาวสะอาด เธอเก็บมันมาจากเรืองที่อับปางลงสู่ก้นทะเล

    เจ้าหญิงปลูกต้นวิลโลว์สีแดงเหมือนดอกกุหลาบไว้ข้างๆรูปปั้นเด็กหนุ่ม ต้นวิลโลว์เติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ที่สวยงาม กิ่งก้านของมันแผ่ออกไปเป็นร่มเงาให้รูปปั้น ใบของมันย้อยลงมาถึงผืนทรายสีฟ้า ทุกครั้งที่กิ่งก้านของมันโยกไหว เงาของมันก็จะขยับตามและเปลี่ยนเป็นสีม่วง ราวกับกิ่งและรากไม้กำลังจุมพิตหลอกล้อกัน


    สำหรับหรับเหล่าเจ้าหญิงน้อยแล้ว การได้ฟังเรื่องราวบนบกซึ่งเป็นถิ่นของมนุษย์ทำให้พวกเธอสนุกสนานได้ยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ท่านย่าผู้ชราได้เล่าเรื่องเรือ เรื่องเมือง เรื่องคน เรื่องสัตว์ทั้งหลายให้เจ้าหญิงฟัง แต่เรื่องที่เหล่าเจ้าหญิงสนอกสนใจที่สุดก็คือเรื่องของดอกไม้บนบกที่มีกลิ่นหอม นั่นก็เป็นเพราะว่าดอกไม้ที่อยู่ใต้ทะเลไม่มีกลิ่น 

    และอีกสิ่งที่ทำให้เหล่าเจ้าหญิงสนใจก็คือเรื่องเหล่าปลาน้อยที่แสนงดงาม เสียงแหลมเล็ก ร้องเพลงอย่างสนุกสนานอยู่ในป่าสีเขียวบนบก บางครั้งก็มองเห็นตัว แต่บางครั้งพวกมันก็หลบซ่อนกาย ช่างเป็นเรื่องมหัศจรรย์เสียจริง ความจริงแล้ว เจ้าปลาที่ท่านย่าพูดถึงก็คือนก แต่ที่ท่านไม่เรียกมันว่านกก็เพราะว่าเหล่าเจ้าหญิงยังไม่เคยเห็นนกกันนั่นเอง ดังนั้น ต่อให้อธิบายอย่างไร พวกเธอก็ไม่มีทางนึกภาพนกออก

    "พอพวกเจ้าอายุ 15 แล้ว..." วันหนึ่งท่านย่าเอ่ยขึ้น "พวกเจ้าจะได้รับอนุญาตให้ว่ายขึ้นไปถึงผิวน้ำ เจ้าจะได้อาบแสงจันทร์ส่องสว่าง เอนกายลงบนโขดหิน มองเห็นเรือลำใหญ่แล่นผ่าน เห็นป่า เห็นบ้านเมืองที่ด้านบน"


    ปีต่อมา เจ้าหญิงเงือกองค์โตก็อายุครบ 15 ปี เหล่าเจ้าหญิงเงือกอายุห่างกันคนละ 1 ปี ดังนั้น กว่าที่เจ้าหญิงเงือกองค์เล็กสุดจะได้รับอนุญาตให้ว่ายน้ำขึ้นมาดูโลกมนุษย์ของเราก็ต้องรออีกถึง 5 ปี

    เหล่าเจ้าหญิงต่างสัญญากันว่า จะนำสิ่งที่เห็นและสิ่งที่คิดว่าสวยที่สุดในวันที่ว่ายน้ำขึ้นข้างบนเป็นครั้งแรกมาเล่าให้น้องๆฟัง เพราะเรื่องเล่าจากท่านย่าอย่างเดียวยังเติมเต็มความกระหายใคร่รู้ของเหล่าเจ้าหญิงไม่ได้ พวกเธออยากรู้จักโลกมนุษย์ให้มากกว่านี้ ให้มากมายกว่านี้อีกหลายเท่า

    โดยเฉพาะเจ้าหญิงองค์สุดท้อง เธอเฝ้ารอวันที่จะได้ว่ายขี้นไปดูโลกเหนือท้องทะเลยิ่งกว่าใครและต้องรอนานยิ่งกว่าใคร ด้วยความที่เธอเป็นคนพูดน้อยแต่เก็บทุกอย่างไวในใจ เธอจึงมักออกไปยืนที่ริมหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้แทบทุกเย็น จับจ้องไปยังผืนน้ำสีฟ้าใสด้านบนที่เหล่าฝูงปลาแหวกว่ายโบกสะบัดครีบและหาง มองเห็นพระจันทร์และดวงดาว แสงของพวกมันช่างอ่อนแรงและเลือนลาง แต่การดูดาวและพระจันทร์จากใต้น้ำก็ทำให้มองเห็นมันได้ใหญ่กว่าที่พวกเราเห็นนัก

    บางครั้ง บางอย่างคล้ายเมฆดำก็เคลื่อนคล้อยเข้ามาบดบังทิวทัศน์และลอยจากไป เจ้าหญิงน้อยรู้ว่านั่นคือปลาวาฬที่ว่ายผ่านเหนือศีรษะไป หรือไม่ก็เรือใหญ่ที่บรรทุกคนไว้มากมาย ทว่าคนบนเรือไม่มีใครคิดฝันว่า ที่ก้นทะเลจะมีเจ้าหญิงเงือกน้อยผู้งดงามคอยยื่นมือขาวผ่องของเธอมาหาเรือของพวกเขา


    แล้วในที่สุด เจ้าหญิงเงือกองค์โตก็อายุครบ 15 ปี เธอได้รับอนุญาตให้ว่ายขึ้นมาสู่ผิวน้ำเสียที

    เมื่อเจ้าหญิงองค์โตกลับมาถึงก้นทะเล เธอก็มีเรื่องมากมายอยากเล่าให้เหล่าน้องสาวฟัง เธอบอกว่าสิ่งที่สวยงามที่สุดบนบกก็คือเมืองใหญ่ริมชายทะเล เธอมองเห็นเมืองจากแสงจันทร์ยามหัวค่ำ ขณะที่กำลังนอนอยู่บนหาดทรายเงียบสงบ แสงไฟนับร้อยนับพันจากเมืองส่องสว่างราวกับดวงดาว เสียงดนตรี เสียงรถวิ่ง เสียงจอแจของผู้คนช่างฟังดูน่าตื่นเต้น บางครั้งเธอก็จ้องมองหอคอยของโบสถ์จำนวนมากในเมือง คอยฟังเสียงระฆังกังวานอย่างเพลิดเพลินใจ เจ้าหญิงเงือกองค์สุดท้องผู้ต้องรออีกนานกว่าจะได้ว่ายน้ำขึ้นข้างบนก็ตั้งใจฟังอย่างสนอดสนใจยิ่งกว่าใคร

    อา เจ้าหญิงน้อยเอ๋ย เธอตั้งใจเรื่องเล่าอย่างใจจดใจจ่อเหลือเกิน! ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ทุกเย็น เธอจะไปยืนที่หน้าต่างที่ถูกเปิดทิ้งไว้ แหงนหน้าจ้องมองไปยังอีกฟากของผืนน้ำโปร่งใส เงี่ยหูฟังเสียงต่างๆที่เธอจินตนาการว่าเป็นเสียงความคึกคักของเมือง ทำให้เธอรู้สึกราวกับว่าเสียงระฆังของโบสถ์ดังกังวานมาถึงท้องทะเลที่เธออยู่


    หนึ่งปีผ่านไป เจ้าหญิงเงือกองค์ที่สองได้รับอนุญาตให้ขึ้นสู่ผิวน้ำและว่ายน้ำไปไหนก็ได้ตามใจชอบ

    ตอนที่เจ้าหญิงองค์ที่สองว่ายน้ำขึ้นไป เป็นตอนที่พระอาทิตย์กำลังตกดินพอดี เธอบอกว่าทั่วผืนฟ้าส่องประกายสีทองสวยงามอย่างไม่มีอะไรมาเทียบได้ หมู่เมฆก็สวยงามจนไม่รู้จะใช้คำใดมาบรรยาย มวลเมฆมอดไหม้เป็นสีแดงและม่วงล่องลอยผ่านเหนือศีรษะไป 

    ห่างจากก้อนเมฆไปไกลแสนไกลมองเห็นฝูงหงส์เป็นเหมือนผ้าคลุมหน้าบางเบาสีขาว เหล่าหงส์บินอยู่เหนือเกลียวคลื่น มุ่งไปทางดวงตะวันที่กำลังลับขอบฟ้า เจ้าหญิงเงือกเองก็ลองว่ายน้ำตามพวกมันไปเหมือนกัน แต่ไม่นานนัก ดวงตะวันหายลับไป ประกายสีกุหลาบบนผืนน้ำและก้อนเมฆก็จางหายไปเช่นกัน


    ปีต่อมา ถึงคราวที่เจ้าหญิงองค์ที่สามว่ายขึ้นสู่ผิวทะเล

    เจ้าหญิงองค์นี้เป็นผู้มีใจกล้าที่สุดในบรรดาพี่น้อง เธอจึงว่ายทวนน้ำขึ้นไปตามแม่น้ำที่ไหลลงทะเล ในที่สุดเธอก็พบกับเนินสีเขียวสวยงาม ปกคลุมไปด้วยเถาองุ่น เมื่อมองผ่านต้นไม้เขียวครื้มในป่าไปก็เห็นปราสาทและไร่นาซ่อนตัวอยู่ไกลๆ ได้ยินเสียงนกน้อยขับขานบทเพลง ดวงตะวันฉายแสงร้อนระอุ เธอจึงต้องดำลงน้ำไปบรรเทาความแสบร้อนที่ใบหน้าอยู่หลายต่อหลายครั้ง

    เจ้าหญิงว่ายมาถึงอ่าวเล็กๆที่กินพื้นที่เข้ามาในชายฝั่ง เธอเห็นเด็กชาวมนุษย์หลายคนเปลือยกายเล่นน้ำกันอยู่ เสียงน้ำกระเซ็นดังจ๋อมแจ๋ม เจ้าหญิงก็อยากเข้าไปเล่นกับพวกเขาบ้าง แต่เด็กๆกลับตกใจและหนีไปหมด มีแค่สัตว์ตัวน้อยสีดำเดินเข้ามาหาเจ้าหญิง ความจริงแล้วมันคือสุนัข เจ้าหญิงแค่ไม่รู้ว่ามันเรียกว่าสุนัขเท่านั้นเอง เจ้าสุนัขเข้ามาหาเธอและเห่า โฮ่ง โฮ่ง ทำให้เจ้าหญิงกลัวขึ้นมาจับใจและรีบว่ายน้ำกลับไปที่ทะเลทันที แต่ถึงกระนั้นเธอก็จะไม่มีวันลืมภาพป่าที่สวยงาม ภาพเนินสีเขียว และภาพเหล่าเด็กน้อยน่ารักที่ว่ายน้ำได้แม้จะไม่มีหางแบบปลาเหมือนเธอไปอย่างแน่นอน


    เจ้าหญิงองค์ที่สี่ไม่ได้ใจกล้าเท่าองค์ก่อน เธอจึงขึ้นไปลอยคออยู่เฉยๆกลางทะเลอันกว้างใหญ่ แต่เธอก็เล่าให้พี่น้องฟังว่านั่นคือสถานที่ที่สวยงามที่สุดแล้ว 

    กลางทะเลกว้างสามารถมองเห็นได้ไกลออกไปหลายไมล์ ท้องฟ้าเป็นเหมือนโดมแก้วขนาดมหึมา เรือที่แล่นผ่านมาเป็นบางครั้งคราวดูเหมือนนกนางนวลที่บินอยู่แสนไกล เห็นโลมากระโดดขึ้นมาเหนือผิวน้ำ ทันใดนั้น วาฬยักษ์ก็พ่นน้ำขึ้นมา ทำให้ดูเหมือนว่ามีเสาน้ำพุนับร้อยต้นกำลังพ่นน้ำอยู่รอบตัวเธอ


    คราวนี้ถึงตาของเจ้าหญิงองค์ที่ห้า วันเกิดของเธอตรงกับกลางฤดูหนาวพอดี เธอจึงได้เห็นทิวทัศน์ที่ต่างไปจากพวกพี่ๆ เธอเล่าว่าผืนทะเลเปลี่ยนเป็นสีเขียว มีภูเขาน้ำแข็งลอยอยู่รอบๆ ภูเขาน้ำแข็งแต่ละก้อนทอประกายราวกับไข่มุกและสูงใหญ่ยิ่งกว่าหอคอยโบสถ์ที่มนุษย์สร้างขึ้น ทั้งยังมีรูปร่างแปลกตา สะท้อนแสงแวววาวเหมือนเพชรพลอย

    เจ้าหญิงได้ขึ้นไปนั่งบนภูเขาน้ำแข็งก้อนที่ใหญ่ที่สุด มนุษย์บนเรือเห็นเจ้าหญิงอยู่บนภูเขาน้ำแข็ง สยายผมยาวพลิ้วไหวไปกับสายลม ก็ตกอกตกใจและหันหัวเรือกลับไปทันที

    และแล้ว ตะวันก็ลาลับไป หมู่เมฆเข้าปกคลุมท้องฟ้า เห็นประกายฟ้าแลบแปลบปลาบ เสียงฟ้าร้องครืนครืน ภูเขาน้ำแข็งถูกเกลียวคลื่นในทะเลสีดำซัดขึ้นสูง สะท้อนแสงวิบวับด้วยประกายของสายฟ้าสีแดง เรือทุกลำล้วนหุบใบเรือ ผู้คนในเรือต่างตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว เจ้าหญิงเอนกายอยู่บนภูเขาน้ำแข็งท่ามกลางเกลียวคลื่น นั่งมองสายฟ้าสีน้ำเงินแล่นซิกแซกลงสู่ผืนทะเลที่ส่องแสงระยิบระยับ


    เมื่อพวกพี่สาวได้ขึ้นจากก้นทะเลไปดูสิ่งแปลกใหม่และสวยงามบนโลกเบื้องบนเป็นครั้งแรก ก็ต่างหลงใหลและยินดีปรีดาเป็นอย่างยิ่ง ทว่า เมื่อพวกเธอได้รับการยอมรับว่าดูแลตัวเองได้ อยากไปไหน เมื่อไหร่ก็ไปได้ตามใจ เรื่องราวของโลกมนุษย์ที่เคยหลงใหลใฝ่ฝันก็เริ่มจืดจางหมดเสน่ห์ลง ทั้งยังเปลี่ยนใจหันกลับมารักก้นทะเลอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของตนเองมากขึ้น 

    เมื่อผ่านไปได้เพียงเดือนเดียว พวกเธอก็เริ่มคิดว่าก้นทะเลนี่แหละที่สวยงามที่สุด บ้านเกิดของเธอนี่แหละที่วิเศษยิ่งกว่าที่ไหนๆ


    เมื่อตกเย็น เจ้าหญิงเงือกทั้ง 5 จะจับมือกันว่ายน้ำเรียงหน้ากระดานขึ้นสู่ผิวทะเล

    เจ้าหญิงเงือกนั้นมีรูปร่างหน้าตาสวยงามและเสียงที่ไพเราะยิ่งกว่ามนุษย์คนไหน เมื่อเกิดพายุขึ้นและเรือกำลังจะจม พวกเธอจะว่ายน้ำไปที่หน้าเรือพร้อมกับใช้เสียงอันงดงามร้องเพลงบอกมนุษย์บนเรือถึงความสวยงามของโลกก้นทะเลและขอให้พวกเขาอย่าได้หวดกลัวการจมลงสู่ทะเล ทว่ามนุษย์ทั้งหลายไม่เข้าใจบทเพลงของเหล่าเจ้าหญิง ต่างคิดว่านั่นคือเสียงพายุ และมนุษย์ทั้งหลายก็ไม่เคยเห็นความงามของดินแดนใต้ทะเล ซึ่งก็แน่นอนอยู่แล้ว ถ้าเรือล่ม มนุษย์จะจมน้ำและตายก่อนที่จะไปถึงปราสาทของราชาเงือก

    ขณะที่พวกพี่สาวจับมือกันว่ายน้ำขึ้นสู่เบื้องบน เจ้าหญิงเงือกองค์สุดท้องก็ถูกทิ้งไว้คนเดียว เธอได้แต่มองพี่ๆว่ายน้ำจากไป เจ้าหญิงน้อยทั้งเหงา ทั้งเศร้าจนแทบร้องไห้ แต่เหล่าเจ้าหญิงเงือกไม่มีสิ่งที่เรียกว่าน้ำตา เธอจึงต้องรู้สึกโศกเศร้าทดแทนในส่วนที่น้ำตาไหลออกมาไม่ได้

    "อา... ฉันก็อยากอายุครบ 15 ปีเร็วๆเหลือเกิน" นางเงือกน้อยรำพึง "ดินแดนเหนือท้องทะเล ผู้คนที่ปลูกบ้านอาศัยอยู่ที่นั่น ฉันต้องหลงรักสิ่งเหล่านั้นแน่"


    และในที่สุด เจ้าหญิงองค์สุดท้องก็อายุครบ 15 ปี

    "เจ้าเองก็โตขึ้นมากแล้ว" ท่านย่าผู้เป็นเหมือนแม่คนที่ 2 ของเจ้าหญิงพูดกับเธอ "เอาล่ะ มานี่สิ ย่าจะแต่งตัวให้ เหมือนที่แต่งให้พวกพี่สาวของเจ้าไงล่ะ"

    แล้วท่านย่าก็นำมงกุฎดอกลิลลี่สีขาวมาสวมให้เจ้าหญิงน้อย ถ้าดูดีๆจะเห็นว่ากลีบดอกไม้แต่ละกลีบทำจากไข่มุกผ่าครึ่ง แล้วท่านย่าก็นำหอยนางรมตัวใหญ่ 8 ตัวมาประดับที่หางของเจ้าหญิงเพื่อแสดงถึงชาติตระกูลอันสูงส่งของเธอ

    "โอ๊ย เจ็บค่ะ!" เจ้าหญิงเงือกร้องบอก

    "เพื่อความสวยงามก็ต้องอดทนกันบ้าง" ท่านย่าตอบ

    เจ้าหญิงอยากจะสลัดเครื่องประดับหางทั้งหลายทิ้ง มงกุฎดอกไม้ก็อยากจะถอดออก ดอกไม้สีแดงที่บานอยู่ในสวนดูจะเหมาะกับเธอมากกว่าของพวกนี้ แต่มานึกได้เอาป่านนี้ก็สายไปแล้ว

    "ไปแล้วนะคะ" เงือกน้อยกล่าวลาแล้วว่ายขึ้นสู่ด้านบนอย่างรวดเร็วและพลิ้วไหวราวกับฟองอากาศใสบริสุทธิ์


    ตอนที่เจ้าหญิงเงือกโผล่ศีรษะขึ้นพ้นน้ำทะเลก็เป็นตอนที่พระอาทิตย์ตกดินพอดี ก้อนเมฆทุกก้อนถูกย้อมเป็นสีกุหลาบเหลือบประกายทอง ดาวประจำเมืองทอประกายอยู่บนผืนฟ้าสีชมพูอมแดง ลมพัดเย็นสดชื่น ท้องทะเลสงบนิ่งราวกับกระจก

    เธอมองเห็นเสากระโดงเรือต้นใหญ่ 3 ต้นจากอีกฟากทะเล ลมค่อนข้างแรง เรือจึงกางใบเรือเพียงใบเดียว มีลูกเรือนั่งอยู่ตามเชือกดึงใบเรือและเสาค้ำ เจ้าหญิงได้ยินเสียงดนตรีมาจากเรือ ระหว่างที่เธอเฝ้ามองมันอยู่ ท้องฟ้าก็ค่อยๆมืดลง แสงจากโคมหลากสีนับร้อยดวงเริ่มส่องสว่าง ดูเหมือนกับธงริ้วมากมายกำลังโบกสะบัดไปตามแรงลม

    เจ้าหญิงเงือกว่ายน้ำเข้าไปถึงช่องหน้าต่างตรงท้องเรือ ทุกครั้งที่คลื่นซัดมา เธอจะลอยสูงขึ้นจนมองเห็นภายในเรือได้ ในเรือมีมนุษย์แต่งกายสวยงามอยู่มากมาย แต่คนที่เธอเห็นว่าเป็นผู้มีรูปโฉมงดงามที่สุดก็คือเจ้าชายผู้มีนัยน์ตาโตสีดำ อายุราวๆ 16 ปี ในสายสายตาเธอ บนเรือไม่มีใครดูดีเท่าเขาอีกแล้ว 

    วันนี้เป็นวันเกิดของเจ้าชาย จึงมีการจัดงานฉลองกันอย่างใหญ่โต เหล่าลูกเรือเริ่มออกมาเต้นรำกันบนดาดฟ้าเรือ และเมื่อเจ้าชายออกมาถึง ดอกไม้ไฟนับร้อยลูกก็ถูกยิงขึ้นสู่ท้องฟ้า ส่องแสงสว่างราวกับเป็นเวลากลางวัน

    เงือกน้อยตกใจมาก เธอมุดหนีลงใต้น้ำแล้วโผล่ขึ้นมาเฉพาะส่วนหัว ในใจคิดว่าจะทำอย่างไรดี ดวงดาวทั้งหลายบนฟ้ากำลังร่วงหล่นลงมาใส่เธอ เจ้าหญิงไม่เคยเห็นดอกไม้ไฟมาก่อน พระอาทิตย์ดวงใหญ่มากมายหมุนวนพลางส่งเสียงมอดไหม้ดัง ฟู่ ฟู่ มัจฉาเพลิงรูปร่างแปลกตาโผบินขึ้นสู่ฟ้าคราม ภาพทั้งหมดนั้นสะท้อนลงสู่ท้องทะเลอันเงียบสงบ

    ทั้งลำเรือและคนบนเรือต่างถูกอาบด้วยแสงสีแดง แม้แต่เชือกยึดใบเรือยังก็ยังถูกฉายแสงจนมองเห็นชัดเจนไปจนถึงเกลียวเชือกเส้นเล็กเส้นน้อย แล้วเจ้าชายล่ะ อา... ช่างงดงามอะไรเช่นนี้! เจ้าชายกำลังยิ้มแย้มจับมือทักทายกับผู้คนบนเรือ ระหว่างนั้น บทเพลงก็บรรเลงก้องไปทั่วฟ้างามยามราตรีอย่างไม่ขาดตอน


    ดึกแล้ว แต่เจ้าหญิงเงือกก็ยังละสายตาจากเจ้าชายรูปงามไม่ได้ ตอนนี้โคมหลากสีดับลงแล้ว ไม่มีการยิงดอกไม้ไฟขึ้นฟ้าอีกต่อไป เสียงการยิงปืนใหญ่เฉลิมฉลองก็สงบลง ได้ยินทะเลลึกคำรามด้วยเสียงต่ำดังครืนครืน เจ้าหญิงยังคงปล่อยตัวลอยไปกับเกลียวคลื่น จ้องมองไปยังห้องโถงด้านในท้องเรือ

    แล้วจู่ๆ เรือก็เริ่มแล่นเร็วขึ้น ใบเรือถูกกางเพิ่มอีกใบและอีกหนึ่งใบ พอรู้สึกตัวอีกทีคลื่นก็สูงเหมือนภูเขา เมฆดำเข้าปกคลุมท้องฟ้า เห็นแสงฟ้าแลบแวบๆ อยู่ไกลๆ อา... ดูเหมือนว่าพายุร้ายกำลังเดินทางมาแล้ว ลูกเรือหุบใบเรือลงอีกครั้ง ท่ามกลางทะเลคลั่ง เรือลำใหญ่แล่นโคลงเคลง แต่ก็ยังพุ่งไปอย่างรวดเร็วเหมือนลูกธนู คลื่นทะเลสีดำลูกเท่าภูเขาถาโถมเข้ามาราวกับจะล้มเสากระโดงเรือลงให้ได้

    เรือถูกคลื่นสูงกลืนหายไป แล้วก็โผล่ขึ้นมาอีกครั้งบนยอดคลื่นที่สูงเท่าหอคอย ดูราวกับหงส์ขาวกำลังว่ายน้ำ เจ้าหญิงมองว่านี่เป็นการล่องทะเลที่แสนสนุก แต่สำหรับคนบนเรือแล้วไม่ใช่เช่นนั้นเลย ตัวเรือส่งเสียงเหมือนกรีดร้อง ลำเรือบิดเบี้ยวเข้าหากัน คลื่นยักษ์โถมเข้าใส่เรืออีกครั้ง แรงกระแทกของมันทำให้ไม้กระดานเรือแผ่นหนางอตัว น้ำไหลเข้ามา เสากระโดงหักกลางเหมือนต้นอ้อหัก เรือเอนลง น้ำทะลักเข้ามาในท้องเรือทันที

    เจ้าหญิงเพิ่งคิดได้ว่าเหล่าคนบนเรือตกอยู่ในอันตรายเสียแล้ว แต่ถึงกระนั้น เจ้าหญิงก็ไม่ได้รู้เลยว่ารอบตัวเธอ มีไม้กระดานเรือและเศษไม้ลอยอยู่เต็มไปหมด


    จู่ๆ รอบข้างก็มืดสนิทจนมองไม่เห็นอะไร แล้วก็เกิดแสงสว่างวาบขึ้นมาในพริบตา มองเห็นทุกสิ่งได้ชัดเจน ผู้คนบนเรือต่างแตกตื่น เจ้าหญิงเงือกพยายามมองหาเจ้าชายจากในกลุ่มคน ทันใดนั้น ตัวเรือก็แตกออกเป็น 2 ส่วน เจ้าหญิงมองเห็นร่างเจ้าชายร่วงหล่นลงสู่ท้องทะเล

    พริบตานั้น เจ้าหญิงเงือกรู้สึกยินดีออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ เจ้าชายจะลงมาอยู่เคียงข้างเธอที่ก้นทะเลแล้ว แต่เจ้าหญิงก็นึกขึ้นได้ว่า มนุษย์ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ใต้น้ำได้ ถ้าเจ้าชายไม่ตาย เขาก็ลงไปที่ปราสาทของท่านพ่อไม่ได้ อา... เจ้าชายจะตายไม่ได้! ยังไงก็ปล่อยให้เขาตายไม่ได้! เจ้าหญิงลืมอันตรายทั้งปวง แหวกว่ายหลบไม้กระดานเรือและเศษไม้ไปหาเจ้าชาย ถ้ามีแผ่นไม้ลอยมาขวาง เจ้าหญิงก็ผลักมันออกจนให้พ้นทาง

    เจ้าหญิงดำผุดดำว่ายอยู่พักหนึ่ง จนในที่สุดก็ว่ายมาถึงตัวเจ้าชาย เจ้าชายแขนขาหมดแรงและเริ่มเป็นตะคริว ดวงตางดงามปิดสนิท เขาทนว่ายน้ำกลางทะเลคลั่งเช่นนี้ไม่ไหวอีกแล้ว ถ้าตอนนี้เจ้าหญิงเงือกไม่มาช่วยไว้ เขาคงตายไปแล้ว เจ้าหญิงประคองศีรษะเจ้าชายให้พ้นน้ำ ลอยคอไปเรื่อยๆตามแต่เกลียวคลื่นจะพัดพาไป


    พายุผ่านพ้นไป ใกล้ถึงเวลารุ่งเช้าแล้ว เรือลำใหญ่หายไปอย่างไร้ร่องรอย แม้แต่เศษไม้สักชิ้นก็ไม่มีเหลือ ดวงตะวันทอแสงสดใส ย้อมผืนทะเลให้ส่องประกาย 

    พวงแก้มของเจ้าชายดูเหมือนกลับมามีเลือดฝาดอีกครั้งแต่ดวงตายังคงปิดอยู่ เจ้าหญิงเงือกจุมพิตลงบนหน้าผากอันสวยงามได้รูปของเจ้าชาย จัดเส้นผมที่เปียกปอนให้เข้าที่ พอดูดีๆ เจ้าชายดูคล้ายกับรูปปั้นหินอ่อนในแปลงดอกไม้ก้นทะเลของเจ้าหญิง เจ้าหญิงอธิษฐานจากหัวใจว่าขอให้เจ้าชายรอดชีวิตแล้วก้มลงจุมพิตเขาอีกครั้ง


    ในที่สุดเจ้าหญิงก็เห็นพื้นดินที่อีกฟากทะเล เหล่ายอดเขาสูงสีเขียวอมฟ้าเรียงซ้อนกันดูคล้ายกับเรือนร่างของหงส์ขาวที่กำลังหลับใหล บนยอดเขามีหิมะสีขาวบริสุทธิ์ส่องประกาย ชายฝั่งทะเลด้านล่างมีป่าสีเขียวขจี ด้านหน้ามีอาคารหลังหนึ่งตั้งอยู่ จะเป็นโบสถ์หรืออารามนักบวชเจ้าหญิงก็ไม่ทราบ ในสวนมีต้นเลมอนและส้ม ประตูหน้ามีปาล์มต้นสูงปลูกอยู่ ทะเลกินที่เข้าไปในชายฝั่งกลายเป็นอ่าวเล็กๆ บริเวณอ่าวเงียบสงบ แต่น้ำในอ่าวไปจนถึงโขดหินที่อยู่ใกล้ฝั่งที่สุดค่อนข้างลึก เม็ดทรายสีขาวละเอียดถูกคลื่นซัดไปสะสมที่โขดหินใกล้หาด

    เจ้าหญิงเงือกว่ายน้ำพาเจ้าชายไปที่นั่น จัดให้เจ้าชายนอนบนพื้นทราย ยกศีรษะขึ้นสูงเพื่อรับแสงแดดอุ่นๆ

    ตอนนั้นเองก็มีเสียงระฆังดังมาจากอาคารสีขาวแล้วเด็กสาวหลายคนก็วิ่งออกมาที่สวน เจ้าหญิงเงือกรีบว่ายน้ำไปหลบหลังเงาโขดหินก้อนใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อย ใช้ฟองคลื่นอำพรางใบหน้าและเรีอนผม คอยเฝ้ามองว่าจะมีใครสังเกตเห็นเจ้าชายผู้น่าสงสารหรือไม่


    ไม่นานนักก็มีสาวน้อยคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ๆ เมื่อเธอเห็นเจ้าชาย เธอก็ตกใจมากและวิ่งไปเรียกคนอื่นมาช่วยทันที เจ้าหญิงเงือกยังละสายตาจากเจ้าชายไม่ได้ ส่วนเจ้าชายเริ่มได้สติและส่งยิ้มให้คนที่อยู่รอบๆ แต่รอยยิ้มของเจ้าชายนั้นก็ไม่ได้ส่งมาถึงเงือกน้อยที่เป็นผู้ช่วยชีวิตเขาเลย ซึ่งก็แน่นอนอยู่แล้ว เจ้าชายคงนึกไม่ถึงว่าเขารอดชีวิตมาได้เพราะมีนางเงือกมาช่วยไว้ เมื่อคิดได้เช่นนั้น เจ้าหญิงเงือกก็รู้เศร้าขึ้นมาจับใจ สักพัก เจ้าชายก็ถูกประคองเข้าไปในอาคารหลังใหญ่ ส่วนนางเงือกน้อยก็ดำน้ำกลับไปที่ปราสาทของท่านพ่อพร้อมกับความเสียใจ


    หลังจากเหตุการณ์นั้น เจ้าหญิงเงือกองค์เล็ก จากที่เป็นคนพูดน้อยอยู่แล้วก็ยิ่งนิ่งเงียบยิ่งกว่าเดิม

    "นี่ เธอขึ้นไปเจออะไรมาบ้างเหรอ?" เหล่าพี่สาวถามเงือกน้อยซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เธอก็ไม่ยอมตอบอะไรเลย


    เจ้าหญิงเงือกแวะเวียนไปที่ชายหาดที่เธอแยกกับเจ้าชายทุกเช้าเย็น เวลาผ่านไป เจ้าหญิงเห็นต้นไม้ในสวนออกผลพร้อมเก็บเกี่ยว เห็นหิมะบนภูเขาละลาย แต่เธอก็ไม่เห็นเจ้าชายเลย เจ้าหญิงว่ายน้ำกลับบ้านพร้อมกับความเศร้าโศกที่เพิ่มขึ้นทุกวัน

    สำหรับเจ้าหญิงเงือกในตอนนี้ การได้นั่งในแปลงดอกไม้เล็กๆของตนเองแล้วโอบกอดรูปปั้นหินอ่อนที่หน้าตาคล้ายเจ้าชายไว้ในอ้อมแขนเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ช่วยเยียวยาความเศร้าโศกของเธอ เจ้าหญิงไม่สนใจดูแลแปลงดอกไม้อีกแล้ว แปลงดอกไม้ของเจ้าหญิงน้อยมีวัชพืชขึ้นสูงและรกครึ้ม ทำให้บรรยากาศดูมืดมนลงถนัดใจ


    แต่ในที่สุดเจ้าหญิงก็ทนเก็บความทรมานไว้ไม่ไหว เธอเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้พี่สาวคนหนึ่งฟัง และไม่นานพี่สาวทุกคนก็รู้เรื่องที่น้องสาวคนเล็กพบเจอมา นอกจากพี่น้องเจ้าหญิงเงือกแล้วก็ยังมีเงือกสาวอีก 2-3 คนที่รู้เรื่องนี้ เพราะแต่ละคนต่างเล่าเรื่องนี้ให้เฉพาะเพื่อนที่สนิทที่สุดของตนฟังเท่านั้น 

    บังเอิญว่าในบรรดาเงือกสาวที่รู้เรื่องนี้มีอยู่คนหนึ่งที่รู้เรื่องของเจ้าชายจากงานฉลองวันเกิดเจ้าชายบนเรือ และโชคดีที่เงือกสาวคนนี้รู้ด้วยว่าเขาเป็นเจ้าชายของดินแดนไหนและดินแดนนั้นตั้งอยู่ที่ใด


    "เอ้า ไปกันเถอะ" พวกพี่สาวชวนเจ้าหญิงน้อยไปที่ชายฝั่งที่ปราสาทของเจ้าชายตั้งอยู่ พี่น้องเงือกกอดคอกัน ว่ายน้ำไปสู่ปราสาทของเจ้าชาย

    ปราสาทของเจ้าชายสร้างขึ้นจากหินสีเหลืองอ่อนที่ถูกขัดจนเงางาม มีบันใดหินอ่อนขนาดใหญ่อยู่หลายจุด หนึ่งในนั้นเป็นบันใดสำหรับเดินลงทะเล ด้านบนเป็นหลังคาทรงโค้งสีทอง เสาทรงกลมล้อมรอบปราสาท ระหว่างเสาแต่ละต้นมีรูปปั้นหินอ่อนที่ดูสมจริงราวกับมีชีวิตตั้งอยู่

    บานหน้าต่างทำด้วยกระจกใสสะอาด เหล่าเจ้าหญิงเงือกมองเห็นด้านในปราสาทผ่านหน้าต่างทรงสูง ด้านในมีห้องโถงอันงดงามโอ่อ่าเกินบรรยาย ประดับดัวยผ้าม่านไหมและพรมที่ดูมีราคา ผนังทุกด้านมีภาพวาดขนาดใหญ่แขวนอยู่ ภาพวาดเหล่านี้จะดูเท่าไหร่ก็คงไม่รู้สึกเบื่อ ใจกลางโถงใหญ่มีน้ำพุขนาดใหญ่พ่นน้ำส่งเสียงซ่าซ่าอยู่ตลอดเวลา น่าประหลาดใจว่าน้ำที่พ่นออกมาพุ่งสูงจนเกือบถึงเพดานที่เป็นโดมกระจกเลยทีเดียว แสงอาทิตย์ลอดผ่านโดมกระจกเข้ามากระทบผิวน้ำและไม้น้ำที่ลอยอยู่ในสระเป็นประกายสวยงาม


    เมื่อเจ้าหญิงเงือกรู้ที่อยู่ของเจ้าชายแล้ว เธอก็จะว่ายขึ้นมาที่ชายฝั่งนี้ทุกวันในช่วงพลบค่ำ วันแล้ววันเล่า ทั้งยังว่ายเข้ามาใกล้ฝั่งชนิดที่ไม่มีเงือกคนไหนกล้าทำมาก่อน ในที่สุดเธอก็ว่ายผ่านทางน้ำแคบๆ มาจนถึงใต้ระเบียงหินอ่อนของตัวปราสาท เงาจากบนระเบียงสะท้อนลงสู่ทางน้ำด้านล่าง เจ้าหญิงเงือกซ่อนกายอยู่ใต้ระเบียงพลางแหนงหน้ามองเจ้าชาย ทางด้านเจ้าชายก็นั่งชมจันทร์อยู่เพียงลำพัง ไม่สึกรู้ตัวเลยว่ามีใครบางคนแอบมองอยู่

    เธอแอบมองเจ้าชายนั่งเรือพายออกไปในทะเลยามเย็น เล่นดนตรีพลางโบกธงให้พลิ้วไสวไปกับสายลมหลายต่อหลายครั้ง เธอจ้องมองเขาอยู่เงียบๆจากช่องว่างระหว่างต้นอ้อ สายลมเย็นพัดผ้าคลุมหน้าสีเงินของเจ้าหญิงโบกสะบัด หากมีมนุษย์บังเอิญมาเห็นภาพนี้เข้า คงคิดว่านั่นคือหงส์ที่กำลังสยายปีก

    บางวันจะมีกลุ่มชาวประมงมาจุดคบไฟหาปลาพลางพูดคุยซุบซิบชื่นชมรูปโฉมอันงดงามของเจ้าชาย ทุกครั้งที่เจ้าหญิงเงือกได้ยินเช่นนั้นเธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกยินดีจับใจ ยินดีที่ตนเป็นผู้ช่วยชีวิตเขาจากทะเลคลั่งในวันนั้น ความทรงจำที่เธอตระกองกอดศีรษะเจ้าชายไว้แนบอก ความทรงจำที่เธอประทับจุมพิตจากใจลงที่หน้าผากของเขายังคงตราตรึง แม้ว่าเจ้าชายจะไม่รู้เรื่องเหล่านี้เลยก็ตาม


    เจ้าหญิงเงือกค่อยๆหลงใหลในตัวมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ ตอนแรกสุดเธออยากขึ้นไปยังโลกมนุษย์ ไปเป็นเพื่อนกับมนุษย์ เธอเชื่อว่าโลกมนุษย์กว้างใหญ่กว่าโลกของเงือกมากมายนัก มนุษย์สามารถแล่นเรือข้ามทะเลได้ ขึ้นไปอยู่เหนือก้อนเมฆได้ ปีนไปสู่ยอดเขาสูงได้ แผ่นดินที่มนุษย์อาศัยอยู่ผืนป่าและไร่นา นั่นเป็นโลกที่แสนกว้างใหญ่เกินกว่าที่ดวงตาของเธอจะมองเห็นได้ทั้งหมด

    เรื่องที่เจ้าหญิงอยากรู้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เธอลองถามจากพวกพี่สาว แต่ก็ไม่มีใครตอบได้ เธอจึงลองไปถามท่านย่า ถ้าเป็นท่านย่าต้องรู้เรื่องของโลกเบื้องบนมากมายแน่ๆ โลกเบื้องบน เป็นคำที่ท่านย่าใช้เรียกผืนดินเหนือท้องทะเล เจ้าหญิงเองก็เห็นว่าเป็นชื่อที่ไพเราะดีเช่นกัน

    

    "ท่านย่า ถ้ามนุษย์ลงมาอยู่ในน้ำทะเลแล้วไม่ตาย พวกเขาจะอยู่ได้นานแค่ไหน? พวกเขาจะไม่ตายเหมือนที่พวกเราที่อยู่ก้นทะเลได้ไหมคะ?" เจ้าหญิงเงือกถาม

    "ไม่หรอกหลานเอ๋ย มนุษย์จะตาย" ท่านย่าตอบ "และชั่วชีวิตมนุษย์ เมื่อเทียบกับชั่วชีวิตของเงือกแล้วช่างสั้นนัก พวกเราอยู่ได้ถึง 300 ปี เมื่อตายแล้ว เราก็จะกลายเป็นฟอง ลอยสู่ผิวทะเล เหล่าคนรักและครอบครัวที่อยู่ก้นทะเลจึงไม่สามารถทำสุสานเพื่อรำลึกถึงผู้ตายได้ พวกเราชาวเงือกไม่มีวิญญาณที่เป็นอมตะ เราไม่สามารถเกิดใหม่ได้ เงือกก็เหมือนกับต้นอ้อสีเขียวนั่นแหละ เมื่อลำต้นหักไปเสีย ก็ไม่สามารถแตกยอดแตกใบใหม่ได้

    แต่มนุษย์มีจิตวิญญาณที่ไม่มีวันสูญสลายอยู่ แม้พวกเขาจะตาย ร่างกายกลายเป็นดิน แต่วิญญาณของพวกเขาก็ยังคงอยู่ วิญญาณของเขาจะส่องแสงอยู่ท่ามกลางอากาศบริสุทธิ์ ล่องลอยไปจนถึงดวงดาว เหมือกับเงือกที่ว่ายน้ำขึ้นไปดูโลกมนุษย์ พวกเขาไปสู่โลกอันสวยงามที่เงือกอย่างเราไม่มีวันได้สัมผัส ที่นั่นเรียกว่าสวรรค์ สำหรับมนุษย์แล้ว สวรรค์คือดินแดนที่ไม่มีทางเข้าใจได้จนกว่าจะได้ไปสัมผัสด้วยตัวเอง"

    "แล้วทำไมพวกเราถึงไม่มีวิญญาณที่ไม่มีวันสูญสลายบ้างล่ะคะ?" เงือกน้อยถามเสียงเศร้า "หนูอยากเป็นมนุษย์ แค่วันเดียวก็ยังดี ถ้าทำได้หนูยอมสละอายุขัยหลายร้อยปีของเงือกให้เลย หนูอยากลองเป็นมนุษย์ อยากไปที่ที่เรียกว่าสวรรค์ดูบ้าง"

    "อย่าคิดแบบนั้น" ท่านย่าตอบ "พวกเรามีความสุขกว่าพวกมนุษย์ที่อยู่ข้างบนหลายเท่านัก"

    "แต่ถ้าพวกเราตายแล้ว เราก็จะกลายเป็นฟอง ลอยขึ้นไปบนทะเลนี่คะ ถ้าอย่างงั้นเราก็จะไม่ได้ฟังเพลงจากเสียงคลื่น ไม่ได้ดูดอกไม้สวยๆหรือพระอาทิตย์อีกแล้ว อา... ทำไมเราถึงไม่มีดวงวิญญาณที่เป็นอมตะบ้างนะ?"

    "มันก็ไม่แน่หรอก" ท่านย่าบอก "มีอยู่วิธีหนึ่ง หากมีมนุษย์ซักคนรักเจ้า รักยิ่งกว่าที่เขารักพ่อแม่ของเขา รักจากก้นบึ้งของหัวใจ เขาจะพาเจ้าไปทำพิธีกับบาทหลวง บาทหลวงจะให้เขาใช้มือขวาของเขาจับมือขวาของเจ้า ให้เขาเอ่ยคำสาบาน ว่าจะรักเจ้าตลอดไป ทั้งชาตินี้ ชาติหน้าและตลอดกาล เมื่อทำเช่นนั้นแล้ววิญญาณของเขาก็จะสื่อมาถึงเจ้า ทำให้เจ้ารับรู้ความสุขของมนุษย์ไปด้วย และถึงแม้ว่าเขาจะแบ่งวิญญาณมาให้เจ้า วิญญาณของเขาก็จะยังเป็นอมตะอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง...

    แต่เรื่องแบบนี้มันไม่มีทางเกิดขึ้นหรอก เจ้าลองคิดดูสิ สิ่งที่เงือกอย่างเราคิดว่าสวยงาม อย่างเช่นหางของเรา มนุษย์กลับมองว่ามันน่าเกลียดน่ากลัว เพราะพวกเขาไม่รู้คุณค่าของมัน แล้วก็ต้องใช้ท่อนน่าเกลียดสองท่อนนั้นพยุงร่างกายไปไหนมาไหน ใช่ๆ สิ่งที่พวกเขาเรียกกันให้สวยงามว่า ขา นั่นแหละ"

    เมื่อได้ฟังเช่นนั้น เจ้าหญิงเงือกก็ถอนหายใจพลางจ้องมองหางของตนเองอย่างเศร้าสร้อย

    "เอ้า เอ้า ทำใจให้สบายเถิด" ท่านย่าพูดกับหลานสาว "ร้องเพลง เต้นรำ ใช้เวลา 300 ปีของเราให้มีความสุข อายุขัย 300 ปีก็ใช่ว่าจะยาวนานนัก ใช้ชีวิตให้เต็มที่ จะได้พักผ่อนได้อย่างไม่ค้างคาใจในบั้นปลาย จริงสิ คืนนี้เรามาจัดงานเต้นรำกันดีกว่า"


    งานเต้นรำในคืนนั้นงดงามโอ่อ่าชนิดที่ว่าแทบหาไม่ได้บนบก

    กำแพงและกระจกและเพดานของห้องโถงใหญ่ทำจากกระจกหนาแต่โปร่งใส ผนังแต่ละด้านทำจากเปลือกหอยสีแดงกุหลาบและสีเขียวต้นหญ้าขนาดใหญ่ราว 200-300 อันเรียงต่อกัน เปลือกหอยแต่ละอันมีเปลวไฟสีฟ้าลุกโชนอยู่ ทำให้ภายในห้องโถงสว่างไสวและยังสาดแสงทะลุกำแพงออกไปถึงด้านนอก กลายเป็นพื้นที่ที่ถูกอาบด้วยแสงสีฟ้าสดใส

    จากในห้องโถง มองเห็นปลามากมายนับไม่ถ้วนว่ายเข้ามาใกล้กำแพง มีทั้งตัวที่เกล็ดสีแดงสดสะท้อนแสงและเกล็ดสีเงินสีทองแวววาว

    กระแสน้ำสายใหญ่ไหลเอื่อยผ่านใจกลางห้องโถง เหล่าเงือกชายหญิงต่างปล่อยกายให้ไหลไปกับสายน้ำพลางร่ายรำ ขับร้องบทเพลงของชาวเงือกอันแสนไพเราะ เสียงของเงือกไพเราะชนิดที่มนุษย์ไม่มีทางเทียบได้ และผู้ทีมีเสียงไพเราะที่สุดในหมู่ชาวเงือกก็คือเจ้าหญิงเงือกองค์เล็กสุด เหล่าเงือกต่างปรบมือ เอ่ยชมเจ้าหญิงไม่ขาดปาก เจ้าหญิงเองก็รู้สึกปลื้มใจที่ตนเป็นผู้มีเสียงที่ไพเราะที่สุดทั้งบนบกและในทะเล แต่ความเศร้าจากโลกเบื้องบนและเรื่องที่ตนไม่มีวิญญาณอมตะอย่างเจ้าชายก็ยังรบกวนจิตใจของเจ้าหญิงเงือกอยู่ไม่ขาด


    เมื่อจิตใจเศร้าหมอง เธอจึงแอบปลีกตัวออกมาจากปราสาทของท่านพ่ออย่างเงียบๆ ทุกคนยังคงร้องเพลงเต้นรำอยู่ในปราสาทอย่างสนุกสนาน แต่เจ้าหญิงกลับออกมานั่งเศร้าอยู่ในแปลงดอกไม้ของตนเพียงลำพัง

    เสียงเป่าแตรเขาสัตว์ดังก้องมาตามสายน้ำ แต่เจ้าหญิงยังคงนั่งเหม่อลอย

    "ตอนนี้ เขาคนนั้นคงนั่งเรืออยู่ในทะเล เขาคนนั้นที่ฉันรักยิ่งกว่าท่านพ่อท่านแม่ เขาคนนั้นที่ฉันคิดถึงอยู่เสมอ ฉันอยากฝากความสุขชั่วชีวิตไว้ในมือเขา หากทำให้วิญญาณอมตะของเขาแบ่งปันมาหาฉันได้ ไม่ว่าอะไรฉันก็ยอมทำ 

    ระหว่าที่ท่านพ่อและพวกท่านพี่สนุกสนานอยู่ในปราสาท เราลองไปหาคุณป้าแม่มดดูดีกว่า ถึงหล่อนจะแสนน่ากลัว แต่ก็คงมีความรู้พอที่จะช่วยเราได้"


    แล้วเจ้าหญิงก็ออกจากสวน มุ่งไปยังวังน้ำวนที่ส่งเสียงคำรามน่าเกรงขาม แม่มดอาศัยอยู่ที่อีกฟากของน้ำวนนั้น

    เธอไม่เคยมาที่นี่มาก่อน รอบข้างไม่มีดอกไม้หรือหญ้าทะเลขึ้นเลยแม้แต่ต้นเดียว มีเพียงผืนทรายสีเทาแผ่กว้างไปถึงจุดที่น้ำวนก่อตัวอยู่ สายน้ำหมุนวนเหมือนกังหัน ส่งเสียงครืนครืนตลอดเวลา หากย่างกรายเข้าไปก็ไม่พ้นต้องถูกดูดลงไปถึงก้นทะเลลึกอย่างแน่นอน แต่หากไม่ผ่านกระแสน้ำวนที่พร้อมจะฉีกกระชากทุกสิ่งให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยนี้ไป ก็ไม่สามารถไปถึงที่อยู่ของแม่มดได้ แถมกว่าจะมาถึงตรงนี้ เงือกน้อยต้องผ่านทางบ่อโคลนร้อนๆ พ่นฟองปุดๆ มาตั้งไกล

    แม่มดเรียกที่นี่ว่าบึงโคลน เมื่อพ้นบึงโคลนไปจะมีป่าลึกลับอยู่ และบ้านของแม่มดอยู่ที่ใจกลางป่านั้น

    ต้นไม้ในป่านั้นเกีอบทั้งหมดมีลักษณะเหมือนงูร้อยหัวโผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน จะเป็นต้นไม้ก็ไม่ใช่ สัตว์ก็ไม่เชิง กิ่งก้านแต่ละกิ่งเลื้อยยืดยาวและหงิกงอเหมือนใส้เดือน รากแต่ละรากก็สามารถขยับไปมาได้ มันจะจับเหยื่อของมันไว้แน่น ไม่มีทางปล่อยให้หลุดไปไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม


    เมื่อเจ้าหญิงเงือกมาถึงตรงนี้ เธอก็กลัวจนไม่กล้าขยับตัว หัวใจเต้นโครมครามจนเธอคิดจะถอยหลังกลับ แต่เธอก็นึกถึงเจ้าชายและวิญญาณอมตะของมนุษย์ ทำให้เธอกล้าเดินหน้าต่อ เจ้าหญิงรวบเก็บผมยาวสลวยไม่ให้ไปพันกับกิ่งก้านต้นไม้ประหลาด ประสานมือไว้ที่หน้าอก ว่ายน้ำหลบหลีกรยางค์น่าขยะแขยงของต้นไม้อย่างรวดเร็วเหมือนปลาแหวกว่าย ขณะที่รากและกิ่งไม้ก็พยายามคืบคลานมาจับตัวเจ้าหญิงไว้

    ต้นไม้ประหลาดจะจับเหยื่อของมันไว้และรัดด้วยกิ่งก้านที่แข็งแกร่งดั่งเชือกที่ถักทอขึ้นมาจากเหล็ก โครงกระดูกสีขาวของมนุษย์ที่ตายในทะเลปรากฏออกมาให้เห็นตามซอกของกิ่งไม้ ชิ้นส่วนเรือและหีบสมบัติทั้งหลายก็ถูกต้นไม้เหล่านี้จับไว้เช่นกัน หากมองดีๆจะเห็นกระดูกของสัตว์บกปนอยู่และยังมีศพเงือกเด็กหญิงคนหนึ่งที่ถูกรัดตายอยู่ด้วย สำหรับเจ้าหญิง นี่คือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดที่เคยเจอมาในชีวิตเลยทีเดียว


    ในที่สุดเจ้าหญิงก็ออกมาถึงบ่อโคลนเหนียวหนืดขนาดใหญ่ มีงูทะเลตัวใหญ่ผิวมันเลื่อมนอนขดตัวอวดหน้าท้องสีเหลืองอ่อนๆน่าขยะแขยง กลางบ่อมีบ้านหลังหนึ่งตั้งอยู่ บ้านหลังนั้นทำจากกระดูกของมนุษย์ที่เรือล่มตาย

    ตอนนั้นแม่มดอยู่ในบ้านของนาง นางกำลังให้อาหารคางคกโดยให้มันเข้ามาคาบอาหารออกจากปากนาง เหมือนเวลามนุษย์ให้นกคีรีบูนมาคาบกินน้ำตาลจากปาก แล้วนางก็เรียกงูทะเลตัวอ้วนน่าเกลียดให้มาหา "เจ้าหนูน้อยน่ารัก มานี่ซิ" เจ้างูก็รีบเลื้อยขึ้นไปบนตัวนางทันที


    "ไม่ต้องบอกข้าก็รู้ ว่าเจ้ามาหาข้าทำไม" แม่มดพูดขึ้น "อย่าทำเรื่องบ้าๆเลย ถ้าขืนยังเอาแต่ใจตัวเองอยู่อย่างงี้ เดี๋ยวเจ้าจะไม่มีความสุขเอานะ เจ้าหญิงคนสวย 

    เจ้าอยากเอาหางปลาออกแล้วเอาขาสองข้างแบบที่มนุษย์ใช้เดินมาแทนสินะ แล้วเจ้าก็ยังให้เจ้าชายหนุ่มนั้นมารักเจ้า อยากให้วิญญาณที่ไม่มีวันตายของเจ้าชายมาเป็นของเจ้าใช่มั้ยล่ะ" แล้วแม่มดก็หัวเราะเสียงแหลมสูงน่าขนลุก คางคกกับงูทะเลร่วงลงจากตัวนางลงมาคืบคลานอยู่รอบๆแทน

    "แต่เจ้าก็มาไดัจังหวะพอดี" แม่มดพูดต่อ

    "ถ้าหากเจ้ามาช้าไปอีกนิด ถ้าหากวันนี้ดวงอาทิตย์ขึ้นไปเสียแล้ว เจ้าก็ต้องรอไปอีก 1 ปีกว่าข้าจะช่วยเจ้าได้อีกครั้ง

    เอาล่ะๆ ข้าจะให้ยาเจ้าไปขวดนึง ก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้น เจ้าจงว่ายน้ำขึ้นไปที่ฝั่ง เอายาขวดนี้ไปด้วย เมื่อขึ้นไปบนฝั่งแล้ว ให้เจ้าดื่มยานี้เสีย แล้วหางของเจ้าก็จะหดหายไป กลายเป็นขาอันสวยงามของมนุษย์แทน แต่ระหว่างที่หางกำลังเปลี่ยนเป็นขา เจ้าจะเจ็บปวดเหมือนถูกทิ่มแทงด้วยดาบอันแหลมคม

    เมื่อเจ้าได้ขามาแล้ว มนุษย์ทุกคนที่เห็นเจ้าจะต้องชื่นชมว่า อา... ไม่เคยเห็นหญิงสาวที่ไหนงดงามขนาดนี้มาก่อน เวลาเดิน ท่าทางการเดินของเจ้าจะดูสูงส่งและสง่างาม แม้แต่นักระบำชั้นหนึ่งก็ไม่อาจเทียบได้ แต่ทุกก้าวเดิน เจ้าจะรู้สึกเจ็บปวดเหมือนเหยียบลงบนคมมีดจนเลือดออก ว่าไงล่ะ ถ้าเจ้าทนได้ ข้าก็จะช่วยเจ้า"

    "ค่ะ ได้ค่ะ" เจ้าหญิงเงือกตอบเสียงสั่น ในใจตอนนี้มีเพืยงเรื่องเจ้าชายเละการได้รับวิญญาณอมตะเท่านั้น

    "แต่อย่าลืมเสียล่ะ" แม่มดพูดต่อ "หากเจ้าได้เปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ไปครั้งหนึ่งแล้ว เจ้าจะไม่มีวันกลับมาเป็นเงือกได้อีก เจ้าจะว่ายน้ำกลับมาหาพวกพี่ๆหรือกลับมาที่ปราสาทของพ่อเจ้าไม่ได้อีกต่อไป 

    และถ้าหากเจ้าชายไม่ได้รักเจ้าจากก้นบึ้งหัวใจ คิดถึงแต่เรื่องของเจ้าจนลืมแม้กระทั่งพ่อแม่ของเขา หากเขาไม่พาเจ้าไปสาบานรักเป็นสามีภรรยากันต่อหน้าบาทหลวง เจ้าก็ไม่มีทางได้วิญญาณอมตะมาหรอกนะ และถ้าหากเจ้าชายจะไปแต่งงานกับหญิงอื่น เช้าวันต่อมา หัวใจของเจ้าจะแหลกสลาย เจ้าจะกลายเป็นฟองคลื่นบนผิวน้ำไป"

    "ไม่เป็นไรค่ะ" เจ้าหญิงเงือกตอบตกลง แต่หน้าของเธอซีดเผือดราวกับศพ

    "งั้นก็อย่าลืมจ่ายค่าตอบแทนให้ข้าด้วยล่ะ" แม่มดบอกต่อ 

    "ข้าไม่อยากได้แค่ของเล็กๆ น้อยๆ หรอกนะ เสียงของเจ้าน่ะไพเราะที่สุดในทะเลนี้ใช่มั้ย เสียงของเจ้าคงทำให้เจ้าชายหลงใหลเจ้าได้ไม่ยาก แต่ว่าเสียงนั่นน่ะ ขอให้ข้าได้มั้ย?

    ข้าจะยกยาอันแสนล้ำค่าให้เจ้า ดังนั้นเจ้าก็ควรยกสิ่งที่ดีที่สุดของเจ้าให้ข้า จริงมั้ย ข้าต้องผสมเลือดของข้าลงในยานี้เพื่อให้มันออกฤทธิ์ได้ดีที่สุดเชียวนา"

    "แต่ถ้าฉันให้เสียงคุณไปแล้ว ฉันจะเหลืออะไรล่ะ" เงือกน้อยถามกลับ

    "รูปร่างอันสวยสด ท่วงท่าการเดินที่สง่างาม แล้วก็ดวงตาของเจ้าไงล่ะ แค่นี้ก็เพียงพอให้มนุษย์ลุ่มหลงในตัวเจ้าแล้ว

    โอ้ หรือว่าเจ้ากลัวขึ้นมาเสียแล้ว? เอาล่ะ เอ้า แลบลิ้นน้อยๆของเจ้าออกมา ข้าจะตัดมันออกมาเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนกับยาวิเศษของข้า"

    "ได้สิ เชิญเลย" เจ้าหญิงเงือกตอบ

    แม่มดจึงหันไปจุดไฟอุ่นหม้อเพื่อเริ่มปรุงยา

    "ก่อนอื่นก็ต้องเตรียมหม้อให้เรียบร้อย"

    แล้วแม่มดก็ขยุ้มเจ้างูเป็นก้อนแล้วเอาไปถูกับหม้อ เสร็จแล้วก็กรีดหน้าอกตัวเองให้เลือดสีดำหยดลงไป ทันใดนั้นไอน้ำก็ลอยปุดปุดขึ้นมาจากหม้อ ช่างขยะแขยงเหลือเกิน

    เจ้าหญิงเงือกขนลุกด้วยความกลัว ส่วนแม่มดยังนำส่วนผสมอื่นๆใส่หม้อต่อไปจนหม้อเดือดจัด ส่งเสียงหวีดหวิวเหมือนจระเข้ร้อง ในที่สุดแม่มดก็ปรุงยาเสร็จ ยานั้นดูเหมือนน้ำใสบริสุทธิ์

    "เอาล่ะ เสร็จแล้ว" แม่มดพูดขึ้น แล้วนางก็ตัดลิ้นของเจ้าหญิงเงือกออก เท่านี้ เจ้าหญิงก็เป็นใบ้ ไม่สามารถร้องเพลงหรือพูดได้อีกต่อไปแล้ว

    "ตอนขากลับ เวลาผ่านป่าแล้วจะโดนพวกต้นไม้จับ ให้เอายานี่หยดลงไปซักหยด แล้วมันจะหนีไปเอง" แม่มดบอกเงือกน้อย

    แต่เงือกน้อยก็ไม่ได้เอายาอออกมาใช้เลย แค่พวกต้นไม้เห็นขวดยาในมือเธอสะท้อนแสงเหมือนดวงดาว พวกมันก็หดกิ่งก้านหลบด้วยความหวาดกลัว แล้วเจ้าหญิงก็ผ่านป่า ผ่านบึงโคลนและผ่านวังน้ำวนกลับมาได้อย่างไม่ยากเย็น


    เจ้าหญิงเงือกมองไปยังปราสาทของท่านพ่อ แสงไฟในห้องใหญ่ดับไปแล้ว แสดงว่าทุกคนคงหลับไปแล้ว แต่เจ้าหญิงก็ไม่คิดจะไปพบหน้าทุกคนเพราะตั้งใจว่าจะลาจากทุกคนไปชั่วชีวิตในวันนี้ และตอนนี้ตนก็พูดไม่ได้แล้วด้วย ความเศร้าอัดแน่นเต็มอก เจ้าหญิงค่อยๆเข้าไปในสวนแล้วเก็บดอกไม้จากแปลงของพวกพี่สาวมาแปลงละดอก ส่งจูบไปยังปราสาทหลายต่อหลายครั้งแล้วจึงว่ายขึ้นไปสู่เบื้องบนของทะเลสีคราม

    ระหว่างที่ดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้น เจ้าหญิงปีนขึ้นมาที่บันใดหินอ่อนอันโอ่อ่าพลางแหงนหน้ามองปราสาทของเจ้าชาย ดวงจันทร์ทอแสงงดงาม เธอกลืนยาลงคออย่างรวดเร็ว ทันใดนั้น เจ้าหญิงก็รู้สึกราวกับถูกดาบคมกริบเสียบเข้ามาในร่างอันบอบบาง ไม่นานนัก สติของเธอก็หลุดลอย ล้มพับลงราวกับถูกระชากวิญญาณออกจากร่าง


    ในที่สุดตะวันก็ทอแสง ส่องท้องทะเลให้เป็นประกายระยิบระยับ เจ้าหญิงฟื้นขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับความเจ็บปวดอย่างรุนแรง เธอเงยหน้าขึ้นแล้วก็พบว่าเจ้าชายรูปงามยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ดวงตาสีดำขลับของเจ้าชายจ้องมองเธอไม่วางตา เจ้าหญิงรีบหลบตาเจ้าชายทันที โอ หางปลาหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ นี่มันเรียวขาขาวผ่องของหญิงชาวมนุษย์มิใช่หรือ ช่างงดงามเหลือเกิน ทว่าเจ้าหญิงในตอนนั้นมีเพียงเรือนผมดกหนาที่ปิดซ่อนเรือนร่าง ไม่มีอาภรณ์หุ้มกายอยู่เลยแม้แต่ชิ้นเดียว

    "เธอเป็นใคร? มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?" เจ้าชายถาม

    ดวงตาสีฟ้าของเจ้าหญิงจ้องมองเจ้าชายด้วยความรู้สึกสุขปนเศร้า เพราะเธอพูดไม่ได้แล้ว เจ้าชายจูงมือเจ้าหญิงเข้าไปในปราสาท ทุกก้าวเดินของเธอเต็มไปด้วยความเจ็บปวดราวกับเหยียบลงบนเข็มหรือคมมีดเหมือนกับที่แม่มดบอกไม่มีผิด แต่เธอก็รับความทรมานนั้นไว้อย่างยินดี ระหว่างที่เขาจูงมือเธออยู่นั้น เธอดีใจจนตัวแทบลอยเลยทีเดียว และท่วงท่าการเดินอันสวยงามของเจ้าหญิงก็ทำให้ทั้งเจ้าชายและคนรอบข้างประทับใจเป็นอย่างยิ่ง


    เจ้าหญิงได้ใส่เสื้อผ้าไหมและผ้ามัสลินที่ดูสวยสง่า รูปโฉมของเธองดงามยิ่งกว่าใครในปราสาท แต่ช่างน่าสงสารและน่าเสียดายที่เธอไม่สามารถพูดจาหรือร้องเพลงได้ เหล่าบริวารหญิงหน้าตาสวยงาม ประดับร่างกายด้วยผ้าไหมและเครื่องประดับทองปรากฏตัวออกมาขับร้องบทเพลงต่อหน้าเจ้าชาย พระราชาและพระราชินีผู้เป็นพ่อแม่ของเจ้าชาย 

    มีบริวารหญิงคนหนึ่งที่ร้องเพลงได้ไพเราะกว่าคนอื่น เจ้าชายจึงปรบมือและยิ้มให้เธอ นั่นทำให้เจ้าหญิงรู้สึกเศร้าขึ้นมาทันที ทั้งที่ตนร้องเพลงได้เพราะกว่านี้หลายเท่าแท้ๆ เธอนึกอยู่ในในว่า

    "อา เจ้าชาย ฉันยอมทิ้งเสียงของตัวเองเพื่อมาอยู่ข้างคุณเชียวนะ อย่างน้อยๆ ฉันก็อยากให้ท่านรู้เรื่องนี้บ้าง"

    แล้วบรรดาบริวารก็เริ่มเต้นรำเข้าจังหวะเพลงอย่างพลิ้วไหว คราวนี้เจ้าหญิงเงือกยืนขึ้นปลายเท้า ชูเรียวแขนขาวผ่องขึ้น เริงระบำอย่างสวยงามหมดจดชนิดที่ว่าไม่มีใครเทียบได้ ทุกการเคลื่อนไหวช่วยขับความงามของเจ้าหญิงให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ดวงตาของเธอสะกดหัวใจคนดูได้ยิ่งกว่าบทเพลงที่บรรเลงอยู่

    ผู้คนต่างจ้องมองเธออย่างลืมตัว โดยเฉพาะเจ้าชายที่ชื่นชอบเป็นอย่างมากจนเรียกเธอว่า "สาวน้อยถูกทิ้งผู้น่ารัก" แม้ทุกครั้งที่เท้าของเจ้าหญิงสัมผัสพื้น ความเจ็บปวดเหมือนเหยียบย่างลงคมมีดจะแล่นปราดขึ้นมา แต่เธอก็ยังอดทนเต้นต่อไป


    เจ้าชายบอกให้เจ้าหญิงอยู่ใกล้ๆเขาตลอดเวลา และเขายังอนุญาตให้เธอมานอนที่ที่นอนกำมะหยี่หน้าห้องของเขาได้ด้วย

    เจ้าชายให้คนตัดเสื้อผ้าผู้ชายให้เจ้าหญิงใส่ไปขี่ม้าด้วยกัน ทั้งสองคนเดินทางผ่านป่าเขียวชุ่มชื้น กิ่งไม้สัมผัสไหล่ นกน้อยร้องเจื้อยแจ้วอยู่ตามเงาไม้

    เจ้าหญิงได้ไปขึ้นเขากับเจ้าชาย เท้าอันบอบบางของเจ้าหญิงมีเลือดซึมออกมาอย่างเห็นได้ชัด แต่เธอก็ยังยิ้มและเดินตามเจ้าชายต่อไปอย่างไม่ลดละ ในที่สุดก็ถึงยอดเขาสูงเทียมเมฆ มองเห็นเมฆลอยเป็นสายไปสู่ดินแดนแสนไกลเหมือนฝูงนกกำลังออกเดินทาง


    ที่ปราสาทของเจ้าชาย เมื่อทุกคนหลับใหลกันหมดแล้ว เจ้าหญิงจะลงมาที่บันใดหินอ่อนอันใหญ่ แช่ขาที่ร้อนราวกับโดนไฟเผาลงในน้ำทะเลเย็นๆ พลางคิดถึงเหล่าคนที่รักซึ่งอยู่ก้นทะเลลึก


    ค่ำวันหนึ่ง เหล่าพี่สาวของเจ้าหญิงเงือกจับมือกันว่ายน้ำขึ้นมาสู่ทะเลด้านบน พวกเธอลอยตัวอยู่เหนือระลอกคลื่น ขับร้องบทเพลงอันแสนเศร้า เจ้าหญิงเงือกองค์สุดท้องโบกมือเรียก พวกพี่ๆเห็นเข้าก็รีบว่ายน้ำเข้ามาหาทันที

    "พอเธอไม่อยู่ ทุกคนที่ก้นทะเลก็เศร้ากันมากเลยนะ" พวกพี่สาวเล่าให้เธอฟัง

    ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา พวกพี่ๆก็ขึ้นมาเยี่ยมเธอทุกค่ำ มีอยู่วันหนึ่งที่เธอเห็นท่านย่าผู้ไม่เคยว่ายน้ำขึ้นมาข้างบนเลยเป็นเวลาหลายปี กับท่านราชาเงือกผู้สวมมงกุฎบนศีรษะอยู่ไกลๆ ท่านย่าและท่านพ่อยื่นมือมาทางเจ้าหญิง แต่ไม่ได้ว่ายขึ้นมาใกล้ๆฝั่งเหมือนพวกพี่สาว


    วันเวลาผ่านไป เจ้าชายก็รักเจ้าหญิงมาขึ้นทุกวัน แต่ความรักที่เจ้าชายมีต่อเจ้าหญิงเป็นเพียงความรักแบบพี่เอ็นดูน้อง ไม่ใช่ความรักแบบคู่รักแต่อย่างใด ทว่าสำหรับเจ้าหญิง เธอปรารถนาความรักแบบคู่ชีวิตจากเจ้าชาย มิเช่นนั่นเธอจะไม่ได้วิญญาณอมตะมาครองและเช้าวันที่เจ้าชายแต่งงานกับใครก็ตามที่ไม่ใช่เธอ เธอจะสลายกลายเป็นฟองคลื่นไป

    เจ้าชายกอดเจ้าหญิงเงือกไว้ในอ้อมแขน จุมพิตลงบนหน้าผากของเธอ เจ้าหญิงถามเจ้าชายด้วยสายตาว่า

    "คุณรักฉันยิ่งกว่าใครรึเปล่า"

    "อืม รักมากเลยล่ะ" เจ้าชายตอบ "เพราะหัวใจของเธออ่อนโยนยิ่งกว่าใคร ทำให้จิตใจของผมอ่อนไหว แล้วเธอก็ยังคล้ายกับสาวน้อยคนนั้นด้วย ผมเคยเจอเธอคนนั้นครั้งนึง แต่ก็คงไม่ได้พบกันอีกแล้วล่ะ

    ตอนนั้นผมขึ้นเรือออกทะเลแล้วเจอพายุ เรือล่ม ผมโดนคลื่นซัดมาถึงชายฝั่ง ใกล้ๆกันมีอารามนักบวชอยู่ มีเด็กสาวหลายคนกำลังทำงาน แล้วสาวน้อยคนหนึ่งที่ดูเด็กที่สุดในกลุ่มก็สังเกตเห็นผม ผมถึงรอดมาได้ ตอนนั้นผมเห็นหน้าเธอแค่ 2 ครั้งเอง แต่คนที่ผมชอบที่สุดในโลกก็คือเธอคนนั้นแหละ

    เธอหน้าตาคล้ายกับสาวน้อยคนนั้นมาก จนแทบลบภาพเธอคนนั้นออกไปจากใจผมได้เลยล่ะ แต่เธอคนนั้นต้องอยู่ที่อารามนักบวชไปตลอดชีวิต เทพแห่งความสุขเลยส่งเธอมาหาผมแทนไงล่ะ 

    จากนี้ไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ขอให้อยู่ด้วยกันตลอดไปนะ"

    "อา เจ้าชาย คุณไม่รู้เรื่องที่ฉันช่วยชิวิตคุณไว้สินะ" เจ้าหญิงนึกอยู่ในใจ 

    "ทั้งๆที่ฉันเป็นคนพาคุณไปที่ป่าข้างอาราม พรางตัวอยู่กับฟองคลื่นเพื่อรอดูว่าจะมีใครมาพบคุณมั้ย สาวน้อยคนนั้นถึงได้มาเจอคุณ แต่เจ้าชายกลับชอบสาวน้อยคนนั้นมากกว่าฉันซะได้"

    เจ้าหญิงเงือกถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย แต่ก็ไม่อาจร้องไห้ออกมาได้

    "เจ้าชายบอกว่าสาวน้อยคนนั้นต้องอยู่รับใช้อารามนักบวชไปชั่วชีวิต ออกมาใช้ชีวิตนอกอารามไม่ได้ ถ้าอย่างงั้นทั้งสองคนก็ไม่มีทางพบกันได้อีกแล้ว เทียบกันแล้ว ฉันยังได้อยู่เคียงข้างเจ้าชาย ได้เห็นหน้ากันทุกวันๆ เพราะฉะนั้น ฉันจะดูแลเจ้าชายเอง ฉันจะมอบความรักให้คุณ และถ้าเพื่อคุณล่ะก็ แม้แต่ชีวิตนี้ฉันก็ยินดีสละให้"


    หลังจากนั้นไม่นาน เจ้าชายก็ต้องแต่งงาน มีข่าวลือกันว่าเจ้าชายจะเดินทางไปรับเจ้าหญิงคนงามจากดินแดนข้างเคียงมาเป็นคู่สมรส จึงมีการประดับตกแต่งเรืออย่างสวยงาม แม้ใครๆจะบอกเจ้าชายว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นเพียงการเยี่ยมเยือนอาณาจักรเพื่อนบ้าน แต่วัตถุประสงค์ที่แท้จริงก็คือการไปพบเจ้าหญิงของอาณาจักรนั้นอยู่ดี ขบวนเสด็จมีข้าราชบริพานติดตามไปมากมาย แต่เจ้าหญิงเงือกกลับส่ายหน้าแล้วยิ้ม เพราะเข้าใจความรู้สึกของเจ้าชายดีกว่าใครทั้งหมด

    "ผมต้องไป" เขาพูดกับเจ้าหญิงเงือก 

    "ผมต้องไปหาเจ้าหญิงคนงามตามที่ท่านพ่อท่านแม่บอก แต่พวกท่านก็ไม่ได้บอกว่าให้พาเธอคนนั้นกลับมาเป็นเจ้าสาวของผม ผมไม่มีทางรักเธอคนนั้นได้หรอก เพราะยังไงซะเธอก็ไม่มีทางเหมือนกับสาวน้อยผู้งดงามที่อารามนักบวชนั้นได้ คนที่คล้ายกับสาวน้อยคนนั้นก็มีแค่เธอเท่านั้น ถ้าซักวันหนึ่งผมต้องเลือกใครมาเป็นเจ้าสาว ผมก็จะเลือกเธอนี่แหละ สาวน้อยน่ารักผู้ใช้ดวงตาพูดแทนปาก"

    แล้วเจ้าชายก็จุมพิตลงบนริมฝีการสีแดงของเจ้าหญิงเงือก เอนหัวมาซบอกเธอ จับผมยาวสลวยของเธอเล่น เจ้าหญิงเงือกเริ่มมีหวังที่จะได้รับความสุขและวิญญาณอมตะแบบมนุษย์ขึ้นมาบ้างแล้ว


    "กล้วทะเลรีเปล่า สาวน้อยพูดไม่ได้ผู้ถูกทิ้ง"

    เจ้าชายถามเจ้าหญิงเงือกระหว่างเดินทางด้วยเรืออันหรูหราไปสู่ดินแดนเพื่อนบ้าน แล้วเจ้าชายก็เล่าเรื่องพายุ เรื่องทะเลยามสงบ เรื่องปลาสวยงามในทะเลลึก เรื่องสิ่งแปลกตาในทะเลที่คนที่ดำน้ำลงไปจับปลาในทะเลได้เห็น และเรื่องอื่นๆอีกมากมาย เจ้าหญิงเงือกยิ้มฟังเจ้าชาย เพราะอย่างไรเสีย เธอก็รู้เรื่องในทะเลดีกว่าใครอยู่แล้ว


    ยามค่ำคืน ดวงจันทร์ทอแสง ทุกคนบนเรือหลับกันหมดแล้ว เหลือเพียงลูกเรือบางคนที่ต้องคอยคุมหางเสือ เจ้าหญิงเงือกออกมานั่งที่ระเบียง จ้องมองลงไปใต้ผืนนี้ใสสะอาด เธอรู้สึกเหมือนเห็นปราสาทของท่านพ่อ มีท่านย่าที่แสนคิดถึงสวมมงกุฎเงินยืนอยู่ที่ยอดปราสาท ท่านกำลังมองมาที่เรือผ่านกระแสน้ำเชี่ยวกราก

    ขณะเดียวกัน พวกพี่ๆก็ว่ายน้ำขึ้นมาด้านบน จ้องมองมาที่น้องเล็กอย่างเศร้าสร้อยพลางบีบมือขาวผ่องทั้งสองข้างเข้าหากันจนแน่น ดูเหมือนคนกำลังสิ้นหวัง

    จังหวะที่เจ้าหญิงเงือกองค์สุดท้องพยักหน้าและยิ้มให้พวกพี่ๆเพื่อบอกว่าทุกอย่างจะไปได้สวยอย่างแน่นอนก็มีลูกเรือคนหนึ่งเดินเข้ามา พวกพี่ๆจึงดำน้ำหนีไปทันที ลูกเรือคนนั้นจึงคิดว่าอะไรขาวๆที่เห็นในทะเลเมื่อครู่คือฟองคลื่น


    วันต่อมา เรือได้เข้าเทียบท่าที่เมืองหลวงของดินแดนเพื่อนบ้าน บ้านเมืองที่นี่ช่างสวยงาม โบสถ์ทั่วเมืองพากันตีระฆังเสียงดัง มีคนเป่าแตรอยู่บนหอคอยสูง เหล่าทหารยืนเรียงแถวถือธงโบกสะบัดและปืนที่มีมีดดาบติดตรงปลาย

    งานเลี้ยง งานเต้นรำและงานสังสรรค์ต่างๆ ถูกจัดขึ้นทุกวันอย่างไม่ขาดสาย แต่เจ้าหญิงของดินแดนนี้ก็ไม่เคยปรากฎตัวในงานเลยแม้แต่ครั้งเดียว ดูเหมือนว่าเจ้าหญิงอยู่ระหว่างออกไปร่ำเรียนวิชาต่างๆให้เหมาะสมกับฐานะเจ้าหญิงที่อารามนักบวชแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไกลออกไปมากๆ แต่แล้วในที่สุด เจ้าหญิงก็เดินทางกลับมา


    เจ้าหญิงเงือกอยากพบเจ้าหญิงองค์นั้นเร็วๆ เพราะอยากรู้ว่าเธอจะรูปร่างหน้าตาดีขนาดไหน แต่เมื่อได้พบ เธอถึงได้รู้ว่าเจ้าหญิงของดินแดนนี้งดงามอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ผิวขาวผ่องเนียนละเอียด ขนตายาวสีดำขลับ ดวงตาสีฟ้าเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกเผยรอยยิ้มสดใส

    "อ๊ะ คุณ! คุณเป็นคนที่ช่วยชีวิตผม ตอนที่ผมเกือบตายอยู่ที่ริมทะเลนี่นา!" เจ้าชายพูดเสียงดังพลางกอดเจ้าหญิงจนแน่น ส่วนเจ้าหญิงก็หน้าแดงด้วยความเขินอาย

    แล้วเจ้าชายก็หันมาพูดกับเจ้าหญิงเงือกว่า

    "อา ผมมีความสุขเหลือเกิน! ความฝันที่ผมเคยคิดว่าไม่ว่าจะอ้อนวอนเท่าไหร่ก็ไม่มีวันเป็นไปได้กลายเป็นจริงแล้ว เธอเองก็รู้สึกยินดีเหมือนผมใช่มั้ย เพราะยังไงเธอก็เป็นคนที่เข้าใจผมมากที่สุดแล้วนี่นา"

    เจ้าหญิงเงือกจูบมือเจ้าชายแต่ในใจช่างแสนร้าวราน ซึ่งก็แน่นอนอยู่แล้ว ถ้าเจ้าชายแต่งงาน เช้าวันต่อมา เจ้าหญิงเงือกจะต้องตาย กลายเป็นเพียงฟองคลื่น


    โบสถ์ทั่วเมืองตีระฆัง คนของโบสถ์ขี่ม้าวนไปทั่วเมือง ประกาศข่าวการหมั้นของเจ้าหญิง แท่นบูชาต่างถูกประดับด้วยตะเกียงสีเงินแวววาว จุดไฟด้วยน้ำมันกลิ่นหอมหวน เหล่าบาทหลวงพัดโบกกลิ่นจากเครื่องหอมให้ฟุ้งกระจายไปทั่ว บ่าวสาวกุมมือกันแนบแน่น เข้ารับพรจากอาร์ชบิชอป

    เจ้าหญิงเงือกแต่งกายด้วยชุดผ้าไหมและเครื่องประดับทอง ช่วยยกชายกระโปรงยาวให้ว่าที่เจ้าสาว ทว่าเสียงดนตรีเฉลิมฉลองไม่ได้เข้าหูเจ้าหญิงเงือกเลยแม้แต่น้อย งานพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้ทำให้เจ้าหญิงเงือกเกิดอารมณ์ร่วมไปด้วยเลย ห้วงความคิดของเธอมีเพียงเรื่องความมืดอันลึกล้ำหลังความตายและการสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ไป

    เย็นวันนั้น คู่บ่าวสาวขึ้นเรือ เสียงยิงสลุตเฉลิมฉลองดังกึกก้อง ธงริ้วโบกสะบัดตามแรงลม กระโจมสีม่วงทองถูกกางไว้ที่กลางดาดฟ้าเรือ ปูด้วยเบาะนอนที่สวยงามที่สุด ทั้งสองจะใช้เวลาอยู่ด้วยกันในค่ำคืนนี้ที่อากาศเย็นสดชื่นและบรรยากาศเงียบสงบ


    ใบเรือรับลมจนพองโต ลำเรือตั้งตรงไม่โคลงเคลง แล่นฉิวไปเหนือท้องทะเลใสสะอาด

    เมื่อฟ้ามืดลง โคมไฟหลากสีก็ถูกจุดขึ้น บรรดาลูกเรือต่างออกมาที่ดาดฟ้าเรือและเริ่มเต้นรำกันอย่างสนุกสนาน เจ้าหญิงเงือกอดคิดถึงค่ำคืนที่ได้ว่ายน้ำขึ้นมายังโลกเบื้องบนเป็นครั้งแรกไม่ได้ ภาพผู้คนส่งเสียงเฮฮาด้วยความยินดีที่สะท้อนอยู่ในดวงตาเจ้าหญิงเงือกวันนี้ไม่ต่างจากภาพในวันนั้น แต่วันนี้เธอได้เข้าไปร่วมวงเต้นกับทุกคนด้วย ท่วงท่าของเธอพริ้วไหวเหมือนกำลังหลบหลีกอะไรบางอย่างที่ไล่ตาม ดูเหมือนนกนางแอ่นกางปีกบินไปตามลม คนดูต่างปรบมือให้เจ้าหญิงเงือก ที่ผ่านมาเธอไม่เคยเต้นรำได้ดีขนาดนี้มาก่อน ความเจ็บปวดเหมือนถูกแทงด้วยมีดคมกริบที่เรียวขาอันบอบบาง เป็นแค่เสี้ยวหนึ่งของความเจ็บปวดที่หัวใจ

    เจ้าหญิงเงือกรู้ดีว่าคืนนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอได้เห็นหน้าเจ้าชาย เธอยอมทิ้งครอบครัว ทิ้งบ้านเกิด ทิ้งเสียงอันไพเราะเพื่อเจ้าชาย แต่ละวัน แต่ละวัน ต้องทนกับความเจ็บปวดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่เจ้าชายก็ไม่ได้รู้เลยแม้แต่น้อย 

    คืนนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้สูดอากาศเดียวกับเจ้าชาย ได้ก้มหน้ามองท้องทะเลและเงยหน้ามองดาวใต้ฟ้าเดียวกันกับเจ้าชาย สิ่งที่รอเจ้าหญิงเงือกอยู่หลังจากนี้มีเพียงความืดไร้จุดจบ ไร้ความฝัน ไร้สรรพสิ่ง แต่ที่จริงเงือกก็ไม่มีวิญญาณอยู่แล้ว แม้คิดจะไขว่คว้ามา แต่ป่านนี้มันก็สายไปเสียแล้ว

    บรรยากาศบนเรือเต็มไปด้วยความคึกคักและความยินดี ตอนนี้เวลาผ่านไปค่อนคืนแล้ว แต่เจ้าหญิงเงือกก็ยังแย้มยิ้มและเริงระบำต่อไปเรื่อยๆ แม้ว่าในใจของเธอจะมีแต่เรื่องความตาย เจ้าชายจุมพิตเจ้าหญิงคู่หมั้นผู้งดงาม เจ้าหญิงลูบไล้เรือนผมสีดำขลับของเขา แล้วทั้งสองก็จูงมือกันเข้าไปพักผ่อนในกระโจมอันสวยงาม


    ในที่สุดในเรือก็เหลือเพียงความเงียบสงัด มีเพียงลูกเรือคอยคุมหางเสืออยู่ เจ้าหญิงเงือกเท้าแขนกับรั้วระเบียงเรือ สายตาจับจ้องไปที่แสงย่ำรุ่งที่ขอบฟ้าทิศตะวันออก เจ้าหญิงเงือกรู้ดี หากดวงอาทิตย์เริ่มสาดแสงแรกของวัน นั่นจะเป็นเวลาตายของเธอ

    ทันใดนั้นเธอก็เหลือบไปเห็นพวกพี่สาวว่ายขึ้นมาบนผิวน้ำ พวกเธอเองก็หน้าซีดเผือดไม่ต่างจากน้องสาว พอมองดีๆ จึงเห็นว่าเส้นผมที่เคยยาวสลวยพัดพลิ้วไปกับสายลมหายไปเสียแล้ว ผมของพี่ๆทุกคนถูกตัดจนสั้นกุด

    "พวกเรายกเส้นผมของเราให้แม่มด เพื่อขอให้นางช่วยไม่ให้เธอต้องตายวันนี้ แล้วแม่มดก็เอามีดเล่มนี้ให้พวกเรา นี่ไงล่ะ รับไปสิ มันคมมากใช่มั้ยล่ะ 

    เธอต้องเอามีดเล่มนี้ไปแทงหัวใจเจ้าชายก่อนพระอาทิตย์ขึ้น แล้วเอาเลือดของเจ้าชายมาหยดลงที่ขาของเธอซะ ถ้าทำอย่างงั้นแล้วขาของเธอจะหดหายไป หางปลาจะงอกกลับมาแทน ทีนี้เธอก็จะได้กลับเป็นเงือกเหมือนเดิม ลงน้ำกลับมาอยู่ในที่ของเรา เธอจะอยู่ต่อไปอีกตั้ง 300 ปี กว่าจะตาย ร่างสลายเป็นฟองคลื่นนะ

    เอ้า เร็วเข้า! ก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้น ไม่เจ้าชายก็เธอ ต้องมีคนใดคนหนึ่งตายอยู่แล้ว ท่านย่าก็เป็นห่วงเธอมากเลยนะ ผมสีขาวของท่านย่าร่วงเกือบหมดหัวเลย เหมือนพวกเราที่โดนแม่มดใช้กรรไกรตัดผมจนไม่เหลือนี่แหละ

    ฆ่าเจ้าชายแล้วกลับมาเถอะ! เร็วเข้า! ฟ้าเริ่มสว่างแล้วนี่ พระอาทิตย์จะขึ้นแล้ว ถ้ามัวชักช้าเธอจะตายเอานะ"

    พูดจบพวกพี่ๆก็ถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อยและดำน้ำหายไปกับเกลียวคลื่น


    เจ้าหญิงเงือกยกม่านทางเข้ากระโจมสีม่วงขึ้น เจ้าหญิงคนงามนอนหลับใหลซบอกเจ้าชายอยู่ในกระโจม เจ้าหญิงเงือกคุกเข่าลงจุมพิตหน้าผากเจ้าชาย ท้องฟ้ายามใกล้รุ่งถูกย้อมด้วยสีแดงและสว่างขึ้นเรื่อยๆ เธอจ้องมองมีดคมกริบในมือแล้วหันไปมองเจ้าชาย เขากำลังเรียกชื่อเจ้าหญิงคู่หมั้นอยู่ในความฝัน ลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ในใจมีเธอผู้เป็นเจ้าสาวของเขาเท่านั้น มีดในมือเจ้าหญิงเงือกสั่นระริก...

    

    ทันใดนั้น เจ้าหญิงเงือกก็เขวี้ยงมีดทิ้งลงทะเล พริบตาที่มีดกระทบผิวน้ำ เธอเห็นน้ำกระเซ็นขึ้นมาเป็นสีแดงฉานเหมือนเลือด เจ้าหญิงเงือกหันกลับมามองเจ้าชายอีกครั้ง ภาพที่เห็นเริ่มเลือนราง เธอเหวี่ยงร่างลงสู่ผืนน้ำ ด้วยรู้อยู่แก่ใจดีแล้วว่าร่างของตนกำลังสลายลงเป็นฟองคลื่น

    แล้วพระอาทิตย์ก็โผล่พ้นขอบฟ้า แสงอันอ่อนโยนสาดส่องลงมาให้ความอบอุ่นผืนทะเลที่หนาวจับใจ ทำให้เจ้าหญิงเงือกไม่รู้สึกเหมือนว่าตนเองตายไปแล้วเลยแม้แต่น้อย


    เธอเงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์ ทันใดนั้นเธอก็เห็นภูติพรายร่างโปร่งแสงหน้าตางดงามนับร้อยตนล่องลอยอยู่กลางอากาศ ร่างโปร่งใสของพวกเธอทำให้เจ้าหญิงเงือกมองเห็นใบเรือสีขาวและก้อนเมฆสีแดงที่อยู่อีกฝั่ง เสียงพูดคุยของพวกเธอไพเราะราวกับบทเพลง เป็นเสียงของโลกแห่งจิตวิญญาณอันแสนอัศจรรย์ มนุษย์จึงไม่สามารถได้ยินเสียงหรือมองเห็นร่างของพวกเธอได้ แม้ไม่ปีก แต่พวกเธอก็ล่องลอยอยู่ในอากาศได้ด้วยร่างบางเบาของตน

    เจ้าหญิงเงือกเองก็รู้สึกว่าร่างของตนค่อยๆเบาขึ้น จนหลุดออกจากฟองคลื่น ล่องลอยขึ้นสู่ฟากฟ้าสูงเหมือนภูติเหล่านั้น

    "จะไปไหนกันเหรอ?" เจ้าหญิงถาม

    เสียงของเธอช่างสดใสและไพเราะอย่างน่าอัศจรรย์ เหมือนกับเสียงของภูติตนอื่นๆ เป็นเสียงที่แม้แต่ดนตรีชั้นยอดของโลกก็ไม่อาจเลียนแบบได้

    "ไปยังที่อยู่ของภูติลมไงล่ะ!" ทุกตนตอบ "เจ้าหญิงเงือกผู้ไม่มีวิญญาณอมตะ ถ้าไม่ได้รับความรักจากมนุษย์เธอก็ไม่มีทางได้สิ่งนั้นมาหรอก ถ้าเงือกอยากมีชีวิตอยู่ตลอดไปก็ต้องพึ่งพาพลังของสิ่งอื่น ภูติลมก็เหมือนกัน ไม่มีวิญญาณอมตะ แต่ถ้าเราทำดีไปเรื่อยๆ ซักวันเราก็จะได้รับวิญญาณอมตะมา

    พวกเรากำลังบินไปสู่ดินแดนร้อนระอุ ที่นั่นอากาศร้อนอบอ้าวและมีมลพิษ มนุษย์กำลังจะตาย พวกเราเลยจะไปมอบสายลมเย็นฉ่ำให้พวกเขา พัดพากลิ่นหอมของดอกไม้ไปให้ทุกคนรู้สึกสดชื่น เวลาชีวิต 300 ปีของพวกเรา ถ้าเราพยายามทำเรื่องดีๆเอาไว้ เราก็อาจจะได้รับวิญญาณอมตะแบบมนุษย์มา แล้วก็ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตลอดไปเหมือนมนุษย์ก็ได้นะ

    เอาเถอะ เจ้าหญิงเงือกผู้น่าสงสารเอ๋ย เธอก็มาร่วมทุ่มเทไปกับพวกเราเถอะ เธอเจอเรื่องน่าเศร้ามามากมายแต่ก็อดทนมาได้ตลอด เธอถึงได้โบยบินขึ้นมาสู่โลกแห่งภูติลมไงล่ะ เอาล่ะ ถ้าใน 300 ปีนี้เธอทำเรื่องดีๆไว้ เธอก็จะได้รับวิญญาณอมตะมานะ"

    เจ้าหญิงเงือกยื่นเรียวแขนโปร่งแสงขึ้นไปหาเทพแห่งดวงอาทิตย์ ตอนนั้นเธอจึงได้รู้สึกถึงหยาดน้ำตาที่ไหลลงมาที่แก้มเป็นครั้งแรกในชีวิต...


    มีเสียงดังโหวกเหวกมาจากเรือ ดูเหมือนว่าเจ้าชายและเจ้าสาวคนงามของเขากำลังตามหาเจ้าหญิงเงือก ทั้งสองมองฟองคลื่นอย่างเศร้าสร้อยราวกับรู้ว่าเจ้าหญิงเงือกได้กระโจนลงสู่ท้องทะเลไปแล้ว

    แม้มนุษย์จะมองไม่เห็น แต่เจ้าหญิงเงือกได้เข้าไปจุมพิตเบาๆ ที่หน้าผากเจ้าสาวแล้วหันไปส่งยิ้มให้เจ้าชาย จากนั้นเธอก็ล่องลอยขึ้นไปสู่เมฆสีกุหลาบสวยงามบนฟ้ากว้างพร้อมกับเหล่าภูติลมตนอื่นๆ


    "แล้วอีก 300 ปีให้หลัง พวกเราจะได้ขึ้นไปสู่ดินแดนของเทพเจ้า"

    "แต่ก็อาจจะได้ไปเร็วกว่านั้นก็ได้นะ" เสียงภูติลมตนหนึ่งกระซิบบอก

    "พวกเราจะเข้าไปตามบ้านที่มีเด็กมนุษย์อยู่ แน่นอนว่าพวกเขามองไม่เห็นเรา ทุกๆวัน เราจะตามหาเด็กดี เด็กที่ทำให้พ่อแม่ดีใจ เด็กที่ทำให้พ่อแม่ภูมิใจในตัวเขา เทพเจ้าจะคอยมองพวกเราแล้วก็จะลดเวลาทดสอบเราให้สั้นลง

    เวลาที่เราบินเข้าไปในห้องของเด็กๆ พวกเขาจะไม่รู้ตัว เวลาที่เราเจอเด็กดี เราก็จะยิ้มออกมาเอง ทุกครั้งที่เราทำแบบนั้น เทพเจ้าก็จะลดเวลาทดสอบพวกเราลง 1 ปี แต่ถ้าเราเจอเด็กไม่ดี เราก็จะเศร้าแล้วร้องไห้ออกมาเองเหมือนกัน แล้วทุกครั้งที่เราร้องไห้ เทพเจ้าก็จะเพิ่มเวลาทดสอบเราขึ้นอีก 1 วัน"


แปลจาก Ningyo no hime Anderusen douwashuu สำนักพิมพ์ Shinchosha 

แปลเป็นภาษาญี่ปุ่นโดย Yazaki Genkuro

อ่านฉบับภาษาญี่ปุ่นได้ที่ https://www.aozora.gr.jp/cards/000019/card58848.html


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น